พฤฒสภา คือ สภาปรีดี จริงหรือ ? (14)
ไชยันต์ ไชยพร
ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 และฉบับที่ 3 คือฉบับ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ที่ใช้อยู่ระหว่าง พ.ศ. 2475-2489 เป็นรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่ระบอบคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจโดยคณะราษฎร สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจโดยคณะราษฎร ได้แก่
1. การเปิดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีสิทธิ์รับรองคณะรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1
2. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้ง
3. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี และมีวาระอยู่ยาวตราบที่ยังบังคับใช้บทเฉพาะกาลอยู่
4. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ชุดแรกที่แต่งตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2476 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มาจากการทำรัฐประหาร
5. คณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มาจากการทำรัฐประหาร แต่งตั้งตัวเองและพวกพ้องซึ่งส่วนเป็นสมาชิกคณะราษฎรให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2
6. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 รับรองตัวเองให้เป็นคณะรัฐมนตรี
จาก 1-5 บรรดาสมาชิกคณะราษฎรต่างแต่งตั้งตัวเองกลับไปกลับมาหมุนเวียนกันเป็นคณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เป็นระยะเวลาถึง 13 ปี จนมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นั่นคือ ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 นี้ แม้จะยกเลิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และให้มีสมาชิกพฤฒสภาขึ้นแทน แต่ก็ยังกำหนดให้สมาชิกพฤฒสภามีสิทธิ์ในการรับรองคณะรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง และแม้ว่าจะกำหนดให้สมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 นี้ได้กำหนดไว้ว่า ในช่วงแรกให้สมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ทีนี้ เรามาดูกันว่า สมาชิกพฤฒสภาที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกขึ้นมาเป็นจำนวน 80 คนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นใครและพวกใครบ้าง และทำไมคนในสมัยนั้นถึงเรียกพฤฒสภาว่าเป็น “สภาปรีดี”
พฤฒสภาเต็มไปด้วยคนของปรีดีจริงหรือ ?
ในการตอบข้อสงสัยข้างต้น ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงภูมิหลังของสมาชิกพฤฒสภาทั้งหมด 80 ท่าน เพื่อเป็นข้อมูลในการประเมินข้อน้ำหนักความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับการตั้งฉายา “พฤฒสภา” ว่าเป็น “สภาปรีดี” โดยไล่ไปตามลำดับตัวอักษร โดยตอนที่แล้วได้กล่าวถึงภูมิหลังของสมาชิกพฤฒสภาไปทั้งสิ้นจำนวน 25 ท่านในทั้งหมด 80 ท่าน พบว่า มีสมาชิกที่จัดได้ว่าเป็นพวกปรีดี 11 ท่าน มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนปรีดี 3 ท่าน ไม่ใช่พวกปรีดี 5 ท่าน ไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นฝ่ายใดแน่ 6 ท่าน
ต่อไปคือ คุณพึ่ง ศรีจันทร์ [1]
คุณพึ่งเป็นคนสุโขทัย เกิดปี พ.ศ. 2450 ที่เรือนแพในแม่น้ำยม บ้านท่าทราย ตำบลกง อำเภอกงไกรลาศ ชีวิตวัยเด็กลำบาก เนื่องจากมารดาเสียชีวิตไปเมื่อคุณพึ่งอายุได้เพียง 5 ขวบ และอีกสองปีต่อมาก็ต้องกำพร้าบิดา โดยตากับยายเป็นผู้เลี้ยงดูคุณพึ่ง
คุณพึ่งเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาลบ้านท่าทรายจนจบ และมาเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมในจังหวัดพิษณุโลก คุณพึ่งเป็นคนเรียนหนังสือเก่งและมีความมานะในการเรียน เคยได้สอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียน หลังจากจบชั้นมัธยม ได้เรียนต่อวิชากฎหมายที่โรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม และจบเป็นเนติบัณฑิตไทยในปี พ.ศ. 2469 จากนั้นได้ประกอบอาชีพทนายความอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วย้ายมาอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ทำอาชีพทนายกับ “ทำไร่อ้อยและค้าไม้สักแปรรูป”
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 คุณพึ่งได้สนใจติดตามข่าวเป็นอย่างมาก ด้วยตอนที่เรียนกฎหมายก็เคยเรียนกับ “อาจารย์ปรีดี” ด้วย
เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งแรกที่เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม คุณพึ่งได้ลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎรแต่แพ้ ได้คะแนนจากผู้แทนตำบล 16 คะแนน ผู้ชนะที่หนึ่งคือ นายฟัก ณ สงขลา ได้ 18 คะแนน แต่คุณพึ่งก็ไม่ท้อ เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2480 ที่เป็นการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน คุณพึ่งลงแข่งขันอีก และชนะได้เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่เป็นผู้แทนฯได้ไม่ถึงปี พระยาพพลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา คุณพึ่งลงสมัครแข่งขันและชนะอีกเป็นครั้งที่สอง แต่คราวนี้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งอยู่นาน เพราะมีการต่ออายุสภาฯตลอดเวลาสงครามโลกครั้งที่สอง
คุณพึ่งได้ร่วมงานสำคัญของประเทศคือ งานเสรีไทย รับผิดชอบ “หน่วยสุโขทัย-อุตรดิตถ์” เขตงาน 4 จังหวัด คือ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ สุโขทัยและตาก คุณพึ่งมีฉายาเรียกขานว่า “นายพลผึ้ง”
จากการเป็นเสรีไทย คุณพึ่งได้ช่วยทำงานต่อต้านญี่ปุ่นและร่วมมือกับสัมพันธมิตรจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง
ในขณะที่คุณพึ่งเป็นสมาชิกสภาฯ คุณพึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาลที่ลงมติไม่ผ่านร่างกฎหมายเกี่ยวกับพระราชกำหนดสองฉบับ ทำให้หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2487
ต่อมาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 เมื่อคุณทวี บุณยเกตุได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี คุณพึ่งก็ได้เข้าร่วมรัฐบาลเป็นครั้งแรก ได้เป็นรัฐมนตรีลอย ต่อมาในรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช คุณพึ่งก็ยังได้ร่วมรัฐบาลเป็นรัฐมนตรีลอย โดยได้ “รับมอบหมายให้เป็นผู้กำกับดูแลกระทรวงอุตสาหกรรม”
เมื่อ ม.ร.ว. เสนีย์ ประกาศยุบสภาและให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 คุณพึ่งก็ลงสมัครแข่งขันอีก แต่แพ้คุณสุ่น ตันติผลาพล ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกพฤฒสภาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489
จากที่กล่าวไปข้างต้น น่าจะกล่าวได้ว่า คุณพึ่ง ศรีจันทร์น่าจะเป็นหนึ่งในสมาชิกพฤฒสภาที่ทำให้พฤฒสภาถูกเรียกขานว่าเป็น “สภาปรีดี” แต่คุณพึ่งเป็นสมาชิกพฤฒสภาอยู่ไม่นาน เมื่อมีการเลือกตั้งเพิ่มเติมในวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 คุณพึ่งก็ตัดสินใจลาออกจากสมาชิกสภาที่มาจากการแต่งตั้ง และลงแข่งขันเพื่อจะได้เป็นสมาชิกสภาฯที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และคุณพึ่งก็ชนะการเลือกตั้ง ได้เข้าเป็นผู้แทนของประชาชนโดยแท้
ต่อไปจะได้กล่าวถึงคุณมิ่ง เลาห์เรณู
คุณมิ่งมีบิดาชื่อคุณเพี้ยน มารดาชื่อคุณงิ้ว เดิมทีคุณเพี้ยนเป็นคนท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เมื่อแต่งงานกับคุณงิ้วจึงได้ย้ายมาอยู่กับคุณงิ้วที่บางสะพาน ประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาคุณมิ่งได้ย้ายกลับไปที่เพชรบุรี และทำโรงสี คุณมิ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 (เลือกตั้งครั้งแรก) จนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480
ในช่วงที่เกิดรัฐประหารวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ที่นำโดยพลโทผิณ ชุณหะวัณ ยึดอำนาจจากรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์และเครือข่ายของคุณปรีดี พนมยงค์ “ท่านผู้หญิงพูนศุขวางแผนให้คุณปรีดีเดินทางออกนอกประเทศได้อย่างปลอดภัย โดยได้อาศัยเรือประมงที่ยืมมาจากคุณมิ่ง เลาห์เรณู ส.ส. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้แล่นทวนน้ำมารับนายปรีดีที่ท่าเรือบ้านสวนฉางเกลือ โดยมี ร.ต. อมฤต วิสุทธิธรรม ร.น. เป็นกัปตันเรือ”
จากข้างต้น จึงพอสรุปได้ว่า การที่คุณมิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกพฤฒสภาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พฤฒสภาได้รับการขนานนามว่า “สภาปรีดี”
สรุปผลล่าสุดคือ
สมาชิกพฤฒสภา
ปรีดี
ไม่ใช่พวกปรีดี
แนวโน้มสนับสนุนปรีดี
ไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นฝ่ายใด
ม.ล. กรี เดชาติวงศ์
+
ร.อ. กำลาภ กาญจนสกุล ร.น.
+
พ.ท. ก้าน จำนงภูมิเวท
+
แก้ว สิงหะคเชนทร์
+
หลวงกาจสงคราม
+
พลเรือตรี กระแส ประวาหะนาวิน สรยุทธเสนี
+
พลโท หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต
+
เขียน กาญจพันธุ์
+
พลโท จิระ วิชิตสงคราม
+
จรูญ สืบแสง
+
จิตตะเสน ปัญจะ
+
พันโท เจือ สฤษฎิ์ราชโยธิน
+
จำรัส สุวรรณชีพ
+
จินดา จินตนเสรี
+
จำลอง ดาวเรือง
+
หลวงเสรีเริงฤทธิ์ (จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์)
+
ไต๋ ปาณิกบุตร
+
ถวิล อุดล
+
ทัน พรหมิทธิกุล
+
พระยานลราชสุวัจน์ (ทองดี นลราชสุวัจน์)
+
พระนิติการณ์ประสม (สงวน ชัยเฉนียน)
+
ปพาฬ บุญ-หลง
+
หลวงประสิทธิ์นรกรรม (เจี่ยน หงสประภาส)
+
ประทุม รมยานนท์
+
พันตำรวจเอก พระพิจารณ์พลกิจ
+
พึ่ง ศรีจันทร์
+
มิ่ง เลาห์เรณู
+
จากที่ศึกษาภูมิหลังสมาชิกพฤฒสภาไปทั้งสิ้น 27 ท่านในทั้งหมด 80 ท่าน พบว่า มีสมาชิกที่จัดได้ว่าเป็นพวกปรีดี 13 ท่าน มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนปรีดี 3 ท่าน ไม่ใช่พวกปรีดี 5 ท่าน ไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นฝ่ายใดแน่ 6 ท่าน
[1] อาศัยข้อมูลจากหนังสือ “คนการเมือง” ของท่านอาจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร