คปภ.เปิดทางจ่ายสินไหมกรุณา ช่วยผู้ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชา
เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดน จนต้องอพยพออกนอกพื้นที่หลายแสนคน
นายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ รองเลขาธิการด้านกฎหมายและตรวจสอบสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)เปิดเผยว่า หลังเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา บริษัทประกันภัยหลายแห่งที่มีความประสงค์จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัย ในขณะที่ยังไม่ชัดเจนว่า สถานการณ์ดังกล่าวเข้าข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่
หรือไม่ประสงค์ที่จะนำข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยมาต่อสู้ แต่มีความกังวลในประเด็นข้อกฎหมายว่า จะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 33(10) แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 หรือมาตรา 31(11) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 เรื่องการให้ประโยชน์อื่นเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย อันเป็นการต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่นั้น
คปภ.เห็นว่า กรณีเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยสุจริตของผู้รับประกันภัย ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย จึงไม่ใช่การจ่ายประโยชน์เป็นพิเศษนอกเหนือจากไปจากที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
เมื่อเทียบเคียงกับคำพิพากษาของศาลในต่างประเทศ มีกรณีที่ศาลได้พิพากษาให้ผู้รับประกันภัยสามารถรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยเพื่อไล่เบี้ยต่อผู้ขนส่ง แม้ว่าผู้รับประกันภัยจะใช้ดุลยพินิจในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัย
โดยไม่ได้ยกข้อต่อสู้ที่จะทำให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดมาปฏิเสธความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยก็ตาม โดยไม่ได้วินิจฉัยว่า การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้รับประกันภัย เป็นการจ่ายตามอำเภอใจ(British & Foreign Marine Ins. Co. v. Kilgour Steamship Co., Limited, 1910)
“อาจเพราะเหตุว่า เมื่อกล่าวอ้างข้อยกเว้น ก็จะต้องมีภาระการนำสืบ ซึ่งผู้รับประกันภัยย่อมสามารถใช้ดุลยพินิจว่า จะชดใช้สินไหมทดแทน จะเจรจาประนีประนอมยอมความ หรือจะต่อสู้คดี”
สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรุณา หรือเงินช่วยเหลือในลักษณะมนุษยธรรม “Ex-gratia payment” แม้ตามหลักการจ่ายในกรณีดังกล่าว จะเกิดขึ้นได้เฉพาะในกรณีที่บริษัทไม่ต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติของธุรกิจประกันภัยของไทย ในกรณีที่ตีความข้อตกลงคุ้มครองหรือข้อยกเว้นกรมธรรม์ประกันภัยมีความไม่ชัดเจนว่ากรมธรรม์ประกันภัยจะต้องให้ความคุ้มครองหรือไม่
แต่บริษัทประสงค์จะช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยและไม่ต้องการให้ผู้เอาประกันภัยเข้าใจผิดว่า กรณีที่เกิดขึ้นต้องได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยอย่างแน่นอน บริษัทจะมีการตกลงประนีประนอมยอมความกับผู้เอาประกันภัย และพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยในลักษณะที่ภาคธุรกิจประกันภัยไทยเรียกกันว่า “ค่าสินไหมทดแทนกรุณา หรือเงินช่วยเหลือในลักษณะมนุษยธรรม “Ex-gratia payment” เช่นเดียวกัน
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากภาพรวมผลและกระทบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กรณีที่เกิดความไม่ชัดเจน บริษัทย่อมสามารถช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน โดยพิจารณาชดใช้ค่าสินทดแทนในลักษณะ “การจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรุณา หรือ เงินช่วยเหลือในลักษณะมนุษยธรรม “Ex-gratia payment”ได้ เพื่อให้เกิดการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือให้ความช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยอย่างเหมาะสม
“คปภ.พร้อมเป็นคนกลางเข้าร่วมเจรจากับบริษัทประกันภัย เพื่อให้ความช่วยเหลือ แก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชนตามความเหมาะสมต่อไป ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการช่วยรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัย และลดข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในศาล รวมทั้งช่วยเสริมสร้างบรรยากาศความรักความสามัคคีของคนในชาติ” นายอดิศรกล่าว
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,122 วันที่ 14 - 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568