ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ 32.28 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.28 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์
4 ก.ย. 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.28 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ทะลุโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ผ่านกรอบด้านล่างที่เราประเมินไว้ (แกว่งตัวในกรอบ 32.25-32.39 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์เช่นกัน หลังรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) เดือนกรกฎาคม ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 7.18 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดประเมินไว้เกือบ 7.4 ล้านตำแหน่ง
กอปรกับ รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ก็สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในส่วนของการจ้างงาน ทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ย 25bps ได้ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และมองว่า เฟดมีโอกาสราว 32% ที่จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และยังคงมีโอกาสราว 26% ที่จะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีก 4 ครั้ง ในปี 2026
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์และบรรดาสกุลเงินต่างประเทศ อย่าง JPYTHB (หลังเงินเยนญี่ปุ่รอ่อนค่าลง เทียบเงินบาทพอสมควร) นอกจากนี้ บรรยากาศตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ก็กดดันให้ ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ซึ่งช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยอาจยังติดโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับก็ไม่ควรจะต่ำกว่าโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปมากนัก หลังผู้เล่นในตลาดได้รับรู้แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดไปพอสมควรแล้ว เช่น ผู้เล่นในตลาดมั่นใจเกือบ 100% ว่าเฟดจะสามารถปรับลดดอกเบี้ยได้ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และยังคงมองว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ได้ในปีนี้
โดยเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อย่างมีนัยสำคัญ อีกครั้ง หลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้บ้าง
โดยเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงทยอยรับรู้ รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน ADP รวมถึง รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ เพราะหากข้อมูลดังกล่าวออกมาดีกว่าคาด และไม่ได้สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงหนัก ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท
แต่หาก รายงานข้อมูลดังกล่าวสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่เสี่ยงชะลอตัวลงหนัก และภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่สดใส ผ่านการสะท้อนจากภาวะกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการบริการ ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ และมีโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดจะเริ่มมองว่า เฟดอาจจำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย 50bps หรือไม่ ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ขณะที่ ราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ พร้อมกับเงินบาทที่อาจแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับ 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้
อย่างไรก็ดี เรายังคงมีความกังวลว่า การปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำในช่วงนี้ อาจเร่งให้เกิดพฤติกรรมไล่ราคาซื้อ หรือ Fear of Missing Out (FOMO) ส่งผลให้ ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำเปลี่ยนแปลงไปได้ในระยะสั้น กล่าวคือ ยิ่งราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเร็ว แรง ก็จะยิ่งกระตุ้นให้ผู้เล่นในตลาดไล่ราคาซื้อ กดดันให้เงินบาทกลับอ่อนค่าลง (จากปกติที่เงินบาทควรจะแข็งค่าขึ้น ในจังหวะราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น)
นอกจากนี้ เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในส่วนของ Transshipment Tariffs และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.10-32.45 บาท/ดอลลาร์
มุมมองตลาดอื่น ๆ
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของ Alphabet (Google) +9.1% หลังศาลมีคำตัดสินให้ Google ไม่ต้องขายธุรกิจ Web Browser (Chrome) แต่ต้องมีการแชร์ข้อมูลให้กับบริษัทคู่แข่ง เพื่อส่งเสริมการแข่งขันในตลาด Search Engine ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.02% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.51%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นราว +0.66% หลังปรับตัวลงหนักในวันก่อนหน้า จากความกังวลต่อแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอังกฤษและกลุ่มประเทศสมาชิกยูโรโซน อย่าง ฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเดินหน้าเพิ่มความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของหลายประเทศในฝั่งยุโรป
ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นบริษัทยาขนาดใหญ่ อาทิ Roche +2.9%, AstraZeneca +2.6% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานต่างปรับตัวลง ตามราคาน้ำมันดิบที่พลิกกลับมาปรับตัวลงแรง จากความกังวลแนวโน้มกลุ่ม OPEC+ เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิต
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.21% อย่างไรก็ดี ความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ก็พอช่วยชะลอการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ บ้าง
ทั้งนี้ ในช่วงระยะสั้น เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มผันผวนไปตามการมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยยังพอมีโอกาสที่จะเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงหลังจากนี้ (ควรรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน) ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดอาจยังมีความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งจะหนุนให้ Term Premium ของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง
เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%)
ส่วนความกังวลเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ นั้นอาจทยอยลดลงบ้าง ส่งผลให้ Term Premium ของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ตามรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ของสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่โซน 98.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.0-98.4 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้ง เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ทว่า ราคาทองคำก็พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ส่งผลให้ ราคาทองคำล่าสุดแกว่งตัวแถวโซน 3,610-3,620 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ไฮไลท์สำคัญสำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้
ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะรับรู้ในช่วง 19.15 น. ตามเวลาประเทศไทย ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งจะรับรู้ในช่วง 19.30 น. รวมถึง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนสิงหาคม ซึ่งจะรับรู้ในช่วงราว 21.00 น. นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ 5 กันยายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้างในญี่ปุ่น (Wage Growth) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
และในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนสิงหาคม โดยเราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI มีแนวโน้ม “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.85% จากผลของฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูง ทว่าโมเมนตัมเงินเฟ้อ (%m/m) มีแนวโน้มดีขึ้น (-0.06%m/m) หลังจากปรับตัวลดลงหนักในเดือนกรกฎาคม (-0.27%m/m)
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาสถานการณ์การเมือง ซึ่งอาจมีการโหวตลงมติเลือกนายกฯ คนใหม่ภายในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน นี้