สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 23 ส.ค. 68
1. สรุปสถานการณ์น้ำ และปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.สุโขทัย (149 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.บุรีรัมย์ (167 มม.) ภาคกลาง : จ.สิงห์บุรี (83 มม.) ภาคตะวันออก : จ.นครนายก (114 มม.) ภาคตะวันตก : จ.กาญจนบุรี (42 มม.) ภาคใต้ : จ.ภูเก็ต (134 มม.)
สภาพอากาศวันนี้ : มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศลาวตอนบน และเวียดนามตอนบน ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง และฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยเฉพาะบริเวณ จ.ตาก จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา
คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 24 - 28 ส.ค. 68 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และจะขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบน ในช่วงวันที่ 25 – 26 ส.ค. 68 ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ในช่วงวันที่ 24 – 27 ส.ค. 68
2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 66% ของความจุเก็บกัก (52,902 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 50% (28,783 ล้าน ลบ.ม.)
สทนช. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝน โดยเน้นการลดความเสี่ยงจากอุทกภัยและเตรียมความพร้อมในทุกภาคส่วน พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แก่ประชาชน ประชาสัมพันธ์การแจ้งเตือน และจัดเตรียมมาตรการช่วยเหลือผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและทันท่วงที
3. ข่าวประชาสัมพันธ์ : วานนี้ (22 ส.ค. 68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยว่า หลังได้รับรายงานสถานการณ์พายุดีเปรสชันบริเวณหัวเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ ที่คาดว่าจะเคลื่อนลงทะเลจีนใต้ตอนบนในคืนวันที่ 22 ส.ค. 68 และมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน ก่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบน ส่งผลให้ช่วงวันที่ 24 - 28 ส.ค. 68 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคเหนือ เสี่ยงประสบปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขัง จึงได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ประกาศแจ้งเตือนเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 68 ที่ผ่านมา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าวล่วงหน้า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยประสบอุทกภัยมาก่อนหน้านี้ต้องเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือสถานการณ์ ได้แก่ พื้นที่ลุ่มน้ำโขงเหนือ อยู่ระหว่างเร่งซ่อมแซมพนังกั้นน้ำในแม่น้ำสาย จ.เชียงราย ที่เป็นจุดเสี่ยงอุทกภัย คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในวันที่ 24 ส.ค. 68 พื้นที่ลุ่มน้ำยม ดำเนินการซ่อมแซมพนังกั้นน้ำใน จ.สุโขทัย แล้วเสร็จทุกจุด และพื้นที่ลุ่มน้ำน่าน ยังต้องมีการเร่งพร่องระบายน้ำในพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำมาก
โดยปัจจุบันเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำมากกว่า 80% ของความจุเก็บกัก ขณะนี้มีการระบายน้ำจากเขื่อนในอัตรา 45 ล้าน ลบ.ม./วัน ซึ่งจะมีการประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและปรับอัตราการระบายน้ำให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลาในส่วนของสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันเขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำอยู่ที่อัตรา 1,200 ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้มีน้ำเอ่อท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำบางแห่งของ จ.พระนครศรีอยุธยา และอ่างทอง โดยกรมชลประทานมีการแจ้งเตือนข้อมูลการระบายน้ำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระยะนี้ได้สั่งการให้เฝ้าระวังเป็นพิเศษในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง รวมถึงชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ และแนวเขื่อนชั่วคราวที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) บริเวณ จ.สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม เนื่องจากคาดว่าจะมีน้ำทะเลหนุนสูงทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้นและอาจเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่
ในช่วงวันที่ 20 - 26 ส.ค. 68 โดย สทนช. ได้ประกาศแจ้งเตือนให้หน่วยงานเตรียมการล่วงหน้าแล้วและได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงติดตามสถานการณ์ของแหล่งเก็บกักน้ำในพื้นที่เสี่ยงที่มีปริมาณน้ำมากอย่างใกล้ชิด และให้เร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำเพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตรวจสอบและซ่อมแซมแนวคันบริเวณริมแม่น้ำที่ชำรุดเสียหายให้สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานร่วมบูรณาการกันอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน จากสถานการณ์ฝนตกหนักตลอดช่วงฤดูฝนที่เหลือ รวมทั้งเน้นย้ำความสำคัญของการแจ้งเตือนสถานการณ์ให้มีการเตรียมรับมือได้อย่างทันท่วงที เพื่อลดการสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินให้ได้มากที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 22 ส.ค. 68