โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ลงทุนหุ้นอเมริกา เกาะเทรนด์ AI แบบไม่หลงกระแส

Amarin TV

เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ดัชนี S&P 500 ทำนิวไฮ แต่หุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า ไม่ได้ขึ้นครบทุกตัวเงินเริ่มไหลไปยังหุ้นที่ได้ประโยชน์จริงจาก AI และกระจายไปยังหุ้นเทคขนาดกลางและเล็ก

ท่ามกลางโลกส่องสปอตไลท์เข้าหา “ภาพประวัติศาสตร์! ทรัมป์-ปูติน” จับมือพูดคุยและเดินไปด้วยกันบนพรมแดงที่ฐานทัพร่วมเอลเมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน ทั้งสองชายผู้ยิ่งใหญ่ของโลกวันนี้ กำลังจะสร้างความหวังหรือเป็นคำถามในเวทีโลกอนาคตกันแน่ เพราะปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังคว่ำบาตรทางการค้าอย่างเข้มขันกับรัสเซียอยู่ครับ และในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นเป็นข่าวดีข่าวร้าย ไม่มีใครคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลย ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องของความไม่แน่นอนจริงๆ

เพราะจนถึงวันนี้ สงครามการค้ายังแฝงความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” เพิ่งปิดจบดีลภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ กับคู่ค้าประเทศทั่วโลกกันไปแล้ว แต่ “ทรัมป์” ก็มักโยนประเด็นร้อนใหม่ๆ เขย่าโลกไม่หยุด ล่าสุด กระแสข่าวว่าทรัมป์กำลังเล็งประกาศอัตราภาษีใหม่สำหรับชิปและเหล็กในปลายเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งตลาดรอรายละเอียดความชัดเจนของภาษีฯ ดังกล่าวที่จะออกมา

ทั้งๆ ที่ ตลาดก็เพิ่งผ่อนคลายไประยะสั้นๆ จากข่าวดีสหรัฐฯ เลื่อนขึ้นภาษีจีนเมื่อวันที่ 11-12 สิงหาคมนี้ โดยทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งการขยายข้อตกลงสหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าจากจีนเหลือ 30% และจีนลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เหลือ 10% ออกไปอีก 90 วัน เส้นตายจะมีผลในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งเป็นการให้เวลาในการเจรจาต่อเนื่องและช่วยลดแรงกดดันต่อซัพพลายเชนโดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่นปลายปี

ช่วงระหว่างนี้ ทรัมป์โฟกัสการเจรจากับประธานาธิบดีรัสเซีย “วลาดิเมียร์ ปูติน” เพื่อให้บรรลุข้อตกลงเรื่องยูเครน ซึ่งคาดว่าจะประกาศออกมาเร็วๆ นี้ ขณะที่ทรัมป์ระบุว่า “ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องการขึ้นภาษีกับจีนตอนนี้”

แน่นอนครับ ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ แม้ตลาดโลกอาจได้แรงหนุนชั่วคราวจากการเลื่อนภาษีฯจีน แต่ประเด็นร้อนต่างๆ ก็อาจหวนกลับมากดดันอีกครั้งได้ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ขึ้นกับท่าทีของจีนและความคืบหน้าการเจรจาสงครามยูเครน

สหรัฐฯกับสำคัญของอุตสาหกรรม AI

แต่ละเดย์ “ทรัมป์” ทุ่มเทพลังทำสงครามเชิงรุกอย่างเข้มข้น หวังเร่งขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่กรอบนโยบาย “American First” โดยเฉพาะความพยายามดึงการผลิตชิปกลับมาสหรัฐฯ ซึ่งเขาเคยเสนออัตราภาษีนำเข้าสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ประมาณ 100% แต่ถ้าบริษัทที่สัญญาว่าจะสร้างโรงงานผลิตชิปภายในประเทศอาจได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าในช่วงแรก เพราะการให้อัตราภาษีต่ำในช่วงเริ่มต้นเพื่อให้บริษัทเหล่านี้มีโอกาสลงทุนสร้างโรงงาน หลังจากนั้นระยะเวลาหนึ่งจึงจะปรับขึ้นสูงต่อไป

ทรัมป์ เคยได้เรียกร้องให้มีการผลิตชิปและเทคโนโลยีขั้นสูงในสหรัฐฯ และตอนนี้มีกระแสข่าวรัฐบาลทรัมป์กำลังเจรจาจะเข้าถือหุ้นกับ “Intel” บริษัทผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่รายนี้ หลังจากประสบปัญหาจนสูญเสียการแข่งขันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และในระยะข้างหน้า ทรัมป์อาจจะมีโปรเจคใหม่ๆ ขึ้นมาอีกก็เป็นไปได้ เขาต้องการตอกย้ำสัญญาณ “สหรัฐฯ ยืนหนึ่งความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก” ในระยะยาว และไปสู่เป้าหมาย “American Great Agian”

ช่วงนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงดีดเด้งทำนิวไฮเป็นประวัติการณ์ไม่เลิก ท่ามกลางความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายใหญ่และกองทุนทั่วโลกพุ่งกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ปิดทำจุดสูงสุดตลอดกาล (all time high) ที่ระดับ 6,468.54 จุด และเวลานี้ทรงตัวระดับสูงอยู่ ส่วน Nasdaq ทำ hit new high ตลอดช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 นี้ออกมาแข็งแกร่ง โดยกว่า 80% ดีกว่าคาดมาก และเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง

นักลงทุนมีมุมมองต่อตลาดเป็นบวก ทำให้ระยะสั้นหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสไปต่อ และล่าสุด ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุด (12 ส.ค.) คงที่อยู่ที่ 2.7% ถ้าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกันยายนนี้ตามที่ตลาดคาดจริงแล้ว จะเป็นแรงหนุนตลาดเพิ่มอีก ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก Citi ชี้ว่า แม้ภาษีของทรัมป์จะทำให้ราคาสินค้าบางอย่างเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนส่วนใหญ่ถูกแบกรับโดยบริษัทในประเทศและไม่ได้ส่งผ่านไปยังผู้บริโภคมากนัก ซึ่งจะช่วยลดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อพุ่ง และน่าจะเปิดทางให้มีการลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งอาจมีโอกาสลดดอกเบี้ยที่เร็วและรุนแรง ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยเฟดอยู่ที่ 4.25%-4.50%

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ดัชนี S&P 500 มีค่า Forward P/E อยู่ที่ประมาณ 22 เท่า เทียบกับหุ้น 7 นางฟ้า (Magnificent7) ที่ 26 เท่า ซึ่งแพงกว่าตลาดไปแล้ว

แต่ในรอบนี้ดัชนี S&P 500 ทำนิวไฮ แต่หุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า ไม่ได้ขึ้นครบทุกตัว โดยเห็นเงินเริ่มไหลไปยังหุ้นที่ได้ประโยชน์จริงจากเทคโนโลยี AI เช่น Nvidia, Microsoft และกระจายไปยังหุ้นเทคโนโลยีขนาดกลางและเล็ก (Mid/Small Tech) และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เป็น value stocks มากขึ้น และตลาดยังคาดการณ์ S&P 500 อาจขยับขึ้นไปแตะ 6,500 จุด ได้ภายในสิ้นปี 2025 โดยมีแรงส่งจากภาคเทคโนโลยีสุขภาพ ที่มีแนวโน้มผลกำไรดี แม้ความผันผวนยังอยู่ก็ตาม

ความเคลื่อนไหวของหุ้นบิ๊กเทคพาเหรดทำ All Time High ใหม่ นำโดย Nvidia พุ่งเฉียด 180 ดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นบริษัทแรกของโลกที่มีมูลค่าแตะ 4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามด้วยหุ้น Microsoft พุ่งหลังประกาศงบดีกว่าคาด และกลายเป็นบริษัทที่ 2 ในประวัติศาสตร์โลก ที่มีมูลค่าสูงกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้แต่ หุ้น Meta ก็พุ่งทำสถิติใหม่และยังคาดการณ์ Q3 โตต่อเนื่อง

มุมมองต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯและ AI

คำถามว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขาขึ้น เป็นสัญญาณอันตรายไหม และจะไปต่อได้อย่างไร ซึ่งมุมมองของนักวิเคราะห์ยังเสียงแตกเหมือนกันครับ

นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่ามีความเสี่ยงที่ตลาดประเมินมูลค่าสูงเกินไป ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีของตลาดหุ้นโดยรวม (P/B) ของ S&P 500 ขึ้นมาแตะ 5.3 เท่า สูงกว่าในช่วง dot-com ปี 2000 แต่ Morgan Stanley ก็มีมุมมองเชิงบวกด้วยโดยคาดว่า กระแส AI อาจสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตลาดหุ้นได้สูงถึง 13–16 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มมูลค่าตลาดได้ประมาณ 22–27%

ท่ามกลางความกังวลว่า AI อาจเป็นฟองสบู่เช่นกัน และหากผลตอบแทนไม่สอดคล้องกับการประเมินมูลค่า ก็อาจเกิดการปรับฐานขึ้นมาได้

โดย UBS เตือนว่า หุ้นสหรัฐฯ อาจเตรียมปรับฐานครั้งใหญ่ เนื่องจากตอนนี้สัดส่วนของกลุ่มหุ้น Magnificent 7 ในดัชนี S&P 500 ได้พุ่งเกิน 34% เป็นครั้งที่ 3 แล้ว

เมื่อ 2 ครั้งก่อนที่สัดส่วนหุ้นกลุ่มนี้มีน้ำหนักเกิน 34% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานลงเฉลี่ย -13% ในช่วง 2 เดือนถัดมา

ฝั่งที่ยังมีมุมมองว่าตลาดไปต่อไหว อย่างค่าย Goldman Sachs Research ได้เปรียบเทียบว่า ตอนปี 2000 (ช่วง dot‑com) ตลาด Nasdaq พุ่งขึ้นหลายร้อยเท่าและ P/E สูงสุดถึง 200 เท่า แต่ตอนนี้หุ้นใหญ่อย่าง Nvidia, Microsoft แม้จะสูง แต่ยังไม่เท่าต้นยุค dot‑com และส่วนใหญ่บริษัทเทคโนโลยีต่างก็มีผลกำไรจากการดำเนินงานที่ชัดเจนด้วย เพราะฉะนั้น การปรับขึ้นมาของหุ้นเทคโนโลยีใหญ่ๆ จึงมีความน่าเชื่อถือมากกว่า

ด้านนักวิเคราะห์จาก Citi มองว่ายุค AI ที่หุ้นเทคโนโลยีดันขึ้นสูงไม่ใช่เพราะฟองสบู่ แต่เกิดจากการขับเคลื่อนเชิงโครงสร้าง (structural factors) เช่น leverage, ROE และการเติบโตของกำไร ซึ่งบริษัทที่สามารถใช้งาน AI จริงจะเติบโตได้ยั่งยืน

ปัจจุบัน พฤติกรรมผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้คนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ รายงานจากบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลอย่าง Datos ที่ระบุว่า เครื่องมือ AI เช่น ChatGPT มีส่วนแบ่งการค้นหาข้อมูลบนเดสก์ท็อปในอเมริกาถึง 5.6% ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจากปีก่อนหน้า และ แนวโน้มนี้ชัดเจนยิ่งขึ้นในกลุ่มผู้ใช้งานใหม่ โดยเกือบ 40% ของการค้นหาข้อมูลมาจากเครื่องมือ AI ในขณะที่การใช้งานเสิร์ชเอนจินแบบดั้งเดิมในกลุ่มเดียวกันลดลงจาก 76% เหลือเพียง 61% สะท้อนภึงวิธีที่ผู้คนเข้าถึงข้อมูลในยุคที่ AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันมากขึ้น

ต้องยอมรับว่า การมาถึงของ ChatGPT ในปี 2022 ไม่ได้เปลี่ยนเพียงพฤติกรรมผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต แต่ยังเขย่าวงการการเงินของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Microsoft, Google (Alphabet), Amazon และ Meta ให้ต้องเร่งทุ่มลงทุนใน Data Center และ AI Infrastructure แบบก้าวกระโดด

ข้อมูลน่าสนใจจาก Financial Times ชี้ให้เห็นชัดว่า ก่อนการเปิดตัว ChatGPT (ก่อนปี 2022) พบว่าการลงทุนของ บริษัทบิ๊กเทค เพิ่มขึ้นทีละน้อย แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี ค่าใช้จ่ายด้านทุน (Capital Expenditure) ได้พุ่งทะยานขึ้น จนคาดว่าใน ปี 2026 จะเกิน 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยกว่า 14 ล้านล้านบาท และคาดการณ์ภายในปี 2030 ตัวเลขนี้จะทะลุ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี!

บริษัทเทคโนโลยีใหญ่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาล เพราะ 1. มีความต้องการ GPU และชิปประมวลผล AI ที่พุ่งสูง 2. เพื่อให้สามารถพัฒนาบริการใช้งานเทคโนโลยี AI ที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้ง Chatbot, Search, Cloud, และโฆษณา และสามารถแข่งขันในระดับสูงต่อไปได้ และ 3. หากลงทุนช้ากว่า เท่ากับคุณจะเสียเปรียบในเกมเทคโนโลยีแห่งอนาคต

AI ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว

เพราะฉะนั้น เทคโนโลยี AI ไม่ใช่เป็นกระแสชั่วคราว แต่กำลังถูกวางเป็น “ยุทธศาสตร์หลัก” ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่ผลักดันให้บริษัทบิ๊กเทคจะต้องทุ่มเงินลงทุนจำนวนมากแบบไม่เคยมีมาก่อน ต้องยอมรับว่า โลกกำลังเดินเข้าสู่ ยุคทองของ Data Center และ AI อย่างแท้จริง

ผมมองว่า หุ้นบิ๊กเทคโดยรวม ยังไม่อยู่ในภาวะฟองสบู่ที่ชัดเจน แต่ระหว่างทางก็มีข่าวดีและข่าวลบปะปนกัน สำหรับคนที่ต้องการลงทุนหุ้นบิ๊กเทครายตัวในช่วงขาขึ้น แสดงว่า คุณเป็นคนกล้าเสี่ยงเพื่อหวังคว้าโอกาส แนะนำว่ายิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนให้มากขึ้นโดยเฉพาะในหุ้นที่ขึ้นเร็วเกินผลดำเนินงาน(earnings) จริงที่ออกมาแล้ว คุณจำเป็นต้องทำการบ้านศึกษาข้อมูลหุ้นเหล่านี้อย่างเข้าใจเชิงลึกด้วยนะครับ ที่สำคัญควรมีคำแนะนำจากที่ปรึกษาการลงทุนที่คุณใช้บริการอยู่

ส่วนตัวผมอยากแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนที่มีนโยบายลงทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มากกว่าครับ จะช่วยลดความเสี่ยงได้ดีกว่าหุ้นรายตัว ซึ่งเมกะเทรนด์ที่เกี่ยวกับ AI ผมบริหารให้ลูกค้าอย่างเช่น ETF ธีมหุ่นยนต์และ AI ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี พุ่งขึ้นมา 28.95% ธีมคลาวด์ บวก 26.34% เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ผมมีสูตรลงทุนง่ายๆ ให้คุณคว้าโอกาสการลงทุนในช่วงตลาดขาขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงให้พอร์ตได้ด้วย นั่นก็คือ การจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite ด้วยสัดส่วนลงทุน 80% ต่อ 20% ตามลำดับ เพื่อเป็นตัวช่วยกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ให้บาลานซ์ และพาพอร์ตรอดแน่นอนครับ

ตัว Core Port หรือพอร์ตหลัก ที่กระจายความเสี่ยงการลงทุนสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งหลักๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพันธบัตร หุ้นกู้คุณภาพ และหุ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนา อาทิ ลงทุนดัชนีตลาดหุ้นอย่าง S&P 500 หรือ ETF ซึ่งพอร์ตนี้จะสร้างผลตอบแทนเข้ามาเรื่อยๆ ความเสี่ยงต่ำ ทำให้ผลตอบแทนไม่สูงหวือหวาแต่ค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง ผมขอย้ำว่า คุณต้องสร้างพอร์ตหลักนี้ขึ้นมาก่อนเพื่อเป็นแกนหลักของการสร้างผลตอบแทนมั่นคงในระยะยาว

ส่วน Satellite Port หรือพอร์ตรอง เป็นสายมุ่งเน้นคอยหาเป้าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง หรือทำกำไรได้หวือหวาบนความเสี่ยงที่สูงขึ้นหรือยอมเข้าลงทุนในช่วงขาขึ้น อย่างเช่น ทองคำที่พุ่งแรงในช่วงนี้ หุ้นรายประเทศกลุ่มกำลังพัฒนา เช่นเวียดนามที่กำลังลุ้นจะได้ยกระดับเป็นตลาดเกิดใหม่ หรือธีมเมกะเทรนด์ ซึ่งตอนนี้เทคโนโลยี AI กำลังครองโลก ด้วยแนวโน้มที่เติบโตสูง

ผมแนะนำให้ลงทุนหุ้นบิ๊กเทคสหรัฐฯ ในพอร์ตรอง สัดส่วนราว 5-10%ของพอร์ตรองเท่านั้น เพื่อจำกัดความเสี่ยงขาลงหรือเกิดเหตุไม่คาดคิด เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ครับ หุ้นอาจจะขึ้นไปต่อหรืออาจจะร่วงลงก็ได้

สัญญาณเตือนและความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง

ผมขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “สัญญาณเตือน” ความเสี่ยง 2-3 เหตุผล เพื่อให้เพิ่มความระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น

ประเด็นแรก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นจากหุ้นไม่กี่ตัวและเฉพาะหุ้น Magnificent 7 ครองสัดส่วนเกือบ 35-40% ในตลาด S&P 500 ล่าสุด มูลค่ารวมพุ่งแตะ 19 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ทำสถิติสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ สัดส่วนที่สูงอาจเพิ่มความเปราะบางของตลาดต่อการเปลี่ยนแปลงเชิง Sentiment หากมี 1-2 บริษัทสะดุด เช่น รายได้ไม่เติบโตตามคาด หรือทุ่มลงทุนสูงเกินตัว เป็นต้น

ประเด็นที่สอง Valuation บางกลุ่มบางตัวเริ่มแพงเกินกำไรจริง ซึ่งตอนนี้จะอยู่ในหุ้นกลุ่ม AI ใหม่ๆ มีราคาหุ้นพุ่งแรง โดยกำไรยังไม่มีจริง จึงต้องดูข้อมูลเชิงลึกจริงๆ

ประเด็นที่สาม น่ากลัวสุด ตอนนี้ Margin debt ของนักลงทุนแตะระดับสูง เมื่อใช้เงินกู้เพื่อซื้อหุ้น (margin) เพิ่มสูงจนอยู่ในระดับ “เสี่ยง” หากวันที่ sentiment ตลาดเปลี่ยนทิศกระทันหัน อาจเกิดการขายออกแบบลูกโซ่

ประเด็นที่สี่ กองทุนเริ่มทยอยขายหุ้นสหรัฐฯ ออกบางส่วน สะท้อนว่าผู้เล่นมืออาชีพมองว่าตลาดเริ่มมีความร้อนแรงเกินไป และอาจเผชิญความผันผวนในระยะข้างหน้าได้ แต่ขณะเดียวกัน ก็มีกระแสข่าวนักลงทุนใหญ่เข้าซื้อ อาทิ Intel ที่กำลังได้ผู้ร่วมทุนใหม่ และรัฐบาลทรัมป์ที่กำลังเจรจาร่วมลงทุน, ผู้จัดการกองทุนสหรัฐฯ “Bill Ackman”ของ Pershing Square Capital Management ได้เข้าซื้อหุ้น Google มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 15% ของพอร์ต และ Amazon ถือเพิ่มเป็น 9% ของพอร์ตในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา, JP Morgan ซื้อหุ้น Tesla เพิ่มในไตรมาส 2 ทำให้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 17% ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นสถาบันรายใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของ Tesla ทันที

แต่คุณปู่ “Warren Buffett” จากกองทุน Berkshire Hathaway ขายหุ้น Apple ออกต่อเนื่องราว 6.7% และหันมาซื้อหุ้นสายสุขภาพ “UnitedHealth (UNH)” ในช่วงที่ราคาร่วงหนัก รวมถึง David Tepper นักลงทุนชื่อดังจาก Appaloosa Management ก็เข้าซื้อหุ้น UNH เช่นเดียวกับคุณปู่ Buffett ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวของนักลงทุนโลกที่มีมุมมองในการเลือกโอกาสการลงทุนคว้าผลตอบแทนแตกต่างกันไป

เพราะนักลงทุนเป็นนักเลือก คุณสามารถเลือกลงทุนกับบริษัทที่เป็นผู้นำของอุตสาหกรรมนั้นๆ ได้หรือหุ้นที่มีอนาคตเติบโตในระยะยาว ซึ่งนาทีนี้มีความง่ายกว่าการพยายามสร้างความมั่งคั่งจากการเริ่มทำธุรกิจและต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลกว่าธุรกิจจะเป็นผู้นำอุตสาหกรรมได้ ยิ่งในโลกยุค AI คุณจะต้องเป็นนักสู้ที่ต้องรับมือกับปัญหามากมายทั้งคู่แข่ง เทคโนโลยี ต้นทุนต่างๆ และปัจจัยการค้าระเบียบโลกที่ไม่จบไม่สิ้น เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้ในระยะยาว การเป็น “นักธุรกิจ” มีความเหนื่อยหนักกว่า “นักลงทุน”

ชั่วโมง นักลงทุนส่วนใหญ่มองไปทิศทางเดียวกันกับหุ้น AI คือ เลือกลงทุนอยู่กับผู้ชนะในอุตสาหกรรมหรือหุ้นคุณภาพที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีรองรับและมีโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่แข็งแกร่ง อีกทั้งมีศักยภาพในการต่อยอดการให้บริการได้ทั่วโลก สอดรับกับความต้องการของตลาดโลกในอนาคต เช่น Apple, Microsoft, Nvidia, Meta ที่ยังมีเหตุผลรองรับ

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงไม่ได้ แต่อยากลงทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูง โดยอาจจะลงทุนผ่าน ETF เทคโนโลยีสหรัฐฯ แต่หากคุณอยู่ระดับรับความเสี่ยงสูงได้ และต้องการเก็งกำไรใน growth stocks หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เป็นรายตัวก็ควรทำการบ้านศึกษาข้อมูลเชิงลึก

แต่เพื่อไม่ให้พอร์ตรับความเสี่ยงหนักไป หากต้องการลงทุนหุ้นบิ๊กเทคสหรัฐฯ ควรจัดสัดส่วน 5-10% ของพอร์ตรองเท่านั้น และก่อนตัดสินใจลงทุนจำเป็นต้องทำการบ้านศึกษาหาข้อมูลความรู้และเข้าใจความเสี่ยงให้รอบด้านด้วยครับ ที่สำคัญควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาการลงทุนก่อนใส่เงินลงทุนนะครับ

แม้ผมจะคงมุมมองต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นขาขึ้นในระยะสั้น 1 ปี เนื่องจากปี 2023–2024 ตลาดปรับขึ้นมาแล้วราว 50% ซึ่งคาดว่าปีนี้อาจเพิ่มอีก 10% จึงอาจมีโอกาสปรับฐานได้เช่นกัน ถ้าคุณถือหุ้นสหรัฐฯ ราคาแพงค่อยๆ ทยอยขาย 5-10% เพื่อลดความเสี่ยง โดย Core Port ที่มีหุ้นสหรัฐฯ อยู่มากก็ควรปรับพอร์ตบางส่วนไปลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีน เวียดนาม แต่หากยังไม่มั่นใจแนะนำให้เก็บเงินในพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะสั้น รับผลตอบแทนประมาณ 4% แล้วรอจังหวะตลาดปรับฐานปีหน้าแล้วค่อยกลับมาลงทุนก็ไม่สายครับ เพราะแม้แต่พอร์ตของคุณปู่ Buffett ยังถือเงินสดเก็บไว้ในตลาดพันธบัตร สัดส่วนถึง 30% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งคุณปู่ยึดมั่นในหลักการ “อย่าแห่ตามฝูงชน” และรอจังหวะลงทุนในช่วงที่ตลาด (น่า) กลัว เลือกหุ้นที่ดีราคาถูก

ในส่วนของพอร์ตรอง ถ้าถือหุ้นพื้นฐานดีและมีรายได้มั่นคง ถือว่า ยังปลอดภัย และอาจถือต่อได้ แต่หากหุ้นวิ่งแรงเกินกำไรจริง แนะนำให้ปรับพอร์ตเพื่อ “ลดความเสี่ยง” หรือ “ขายเพื่อล็อกกำไรบางส่วน” ออกมาก่อนครับ

ในช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ “ไม่ได้” อยู่ในโซนถูกแล้วเมื่อเทียบกับค่า P/E ย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 22 เท่า แม้วันนี้ หุ้นยังมีโมเมนตัมขึ้นได้ก็ตาม ต่ก็มีความเสี่ยงที่จะตกลงมาได้เหมือนกัน ซึ่งปัจจัยพื้นฐานทั้งด้านเศรษฐกิจที่ต้องติดตามดูผลกระทบจากภาษีการค้าใหม่ยังไม่เกิดขึ้น และปัญหาหนี้ท่วมรัฐบาลที่ยังไม่เห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นในระยะยาว

กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปทั่วโลก จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตในยามที่ตลาดลงแรง ถือเป็นตัวช่วยที่ดีในยามโลกมีความไม่แน่นอนสูง อย่างน้อยๆ คุณยังสบายใจได้หากพอร์ตส่วนนึงอ่อนแอ แต่ยังมีตัวอื่นๆ ช่วยพยุงพอร์ตให้สร้างผลตอบแทนเข้ามาต่อเนื่องได้ครับ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Amarin TV

สรุป 8 ทีมสุดท้าย "วอลเลย์บอลหญิง" ชิงแชมป์โลก 2025 พร้อมโปรแกรมแข่ง

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รวบได้อีก 24 คน ลักลอบข้ามแดนที่อรัญประเทศ

7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความหุ้น การลงทุนอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

"น้องโป้ง" ผู้สื่อข่าวอมรินทร์ถูกเขมรใช้AI ตัดต่อบทสัมภาษณ์ "บิ๊กกุ้ง"

Amarin TV

'เผ่าภูมิ'ยันรัฐบาลอยู่ครบเทอม คาดGDPปี68อยู่ที่2.2% ชี้อาจปรับขึ้นอีก

Amarin TV

สะเทือนใจ "วัย 45" AI มา คนไป อนาคต Early Retire จะไม่หยุดแค่ธนาคาร

Amarin TV
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...