“ดีอี” เปิด 6 แผนหลักปีงบฯ 69 ดันเศรษฐกิจดิจิทัลไทยสัดส่วน 30% ของจีดีพีในปี 70
นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า แผนปีงบประมาณ 2569 กระทรวงดีอี จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลผ่าน 6 ด้านหลัก ได้แก่ 1.การลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ 2.การสร้างระบบ Digital Identity เพื่อรองรับบริการออนไลน์ที่ปลอดภัย 3.การเสริมศักยภาพ Digital Infrastructure หรือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ให้เชื่อมต่อได้รวดเร็วและมีเสถียรภาพ 4.การพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) เพื่อลดขั้นตอนและต้นทุน 5.การส่งเสริมระบบชำระเงินดิจิทัลและสังคมไร้เงินสด และ 6.การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและเอไอ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และบริการ
“ที่ผ่านมาการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ในประเทศไทย ภาคเอกชนจะมีบทบาทในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานอยู่แล้ว โดยมีการลงทุนเป็นจำนวนมาก จากการให้บริการของบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยี ขณะที่ภาครัฐจะมุ่งเน้นเรื่องการวางระบบเพื่อเชื่อมต่อกับต่างประเทศ โดยในฝั่งแปซิฟิกในส่วนของ เคเบิล ซับมารีน หรือ เคเบิลสื่อสารใต้น้ำ เพื่อเชื่อมโยงระบบกับต่างประเทศ และ มีแผนที่จะพัฒนาในส่วนของ เคเบิล ซับมารีน ส่วนในฝั่งทะเลอันดามัน รัฐบาลอาจจะต้องใช้เงินลงทุนราว 5,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อเชื่อมต่อกับต่างประเทศ สนับสนุนกับการลงทุนระบบเครือข่ายของภาคเอกชน”
นายณัฐพล กล่าวต่อว่า ขณะที่ภายใต้โครงการ ระบบคลาวด์กลางภาครัฐ หรือ จีดีซีซี โดยการรวมศูนย์ข้อมูล หรือดาต้าเซ็นเตอร์ ของหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยเข้ามาใช้งานร่วมกัน ที่พัฒนาต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 65-68 กรอบงบประมาณราว 5,000 ล้านบาท แล้วเสร็จแล้ว 45,000 วีเอ็ม (เวอร์ชวล แมชชีน) จากที่ต้องใช้ประมาณ 800,000 วีเอ็ม สำหรับการจัดทำข้อมูล จีดีซีซี ให้ครอบคลุมกับทุกหน่วยงานของไทย นอกจากนี้ยังเตรียมผลักดันให้หนาวยงานภาครัฐเปลี่ยนการทำงานเป็นระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (อี-ด็อกคูเมนต์) โดยตั้งเป้าภายในปี 70 ให้ครอบคลุมหน่วยงานรัฐทั้งหมด เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ลดต้นทุน และลดการใช้กระดาษช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
“ด้วยการขับเคลื่อนแผนดังกล่าว จะมุ่งยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศให้ติดอันดับ ท็อป 30 ของโลก พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเศรษฐกิจดิจิทัลไม่น้อยกว่า 30% ของ จีดีพี ภายในปี 70 จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 24% และอันดับความสามารถแข่งขันด้านดิจิทัลอยู่ในลำดับที่ 37 ของ IMD”