เตือนภัย ! "สารเร่งเนื้อแดง" ภัยเงียบ อันตรายถึงชีวิต เสี่ยงหัวใจวาย แม้ในคนแข็งแรง
ผศ.ดร.รชา เทพษร อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า สารเร่งเนื้อแดงเป็นสารเคมีสังเคราะห์ที่มีสมบัติเปลี่ยนการสะสมไขมันไปเป็นมวลกล้ามเนื้อทำให้สัตว์มีเนื้อแดงมากขึ้นและมีชั้นไขมันลดลง เมื่อนำมาใช้ในภาคปศุสัตว์ถือเป็นการนำมาใช้ที่ผิดวัตถุประสงค์ เพราะเมื่อสัตว์กินสารนี้เข้าไปจะเกิดตกค้างในเนื้อสัตว์ ทำให้คนที่รับประทานได้รับสารนี้ด้วย การใช้สารนี้เลี้ยงสัตว์จึงเป็นสิ่งผิดกฎหมายในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย
สารกลุ่มนี้มีกลไกสามารถขยายหลอดลม ผลข้างเคียงอาจเร่งให้เกิดการหายใจถี่ขึ้น ปอดทำงานหนัก และเหนื่อยได้ ซึ่งในผู้ป่วยบางรายอาจนำไปสู่ภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้
นอกจากนี้ในทางการแพทย์ยังระบุว่าทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อย เมื่อหัวใจทำงานหนักขึ้น ร่างกายจะต้องการออกซิเจนมากขึ้น และผู้ป่วยอาจรู้สึกใจสั่นหรือหายใจถี่ขึ้นตามมา
ไม่เพียงเท่านั้น สารกลุ่มนี้ยังมีผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการมือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก วิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ กระวนกระวาย นอนไม่หลับ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว จะทำให้เกิดอาการเฉียบพลันขึ้นทันที เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคปอด หรือ หญิงมีครรภ์ เมื่อสารเข้าสู่กระแสเลือด จะส่งต่อไปสู่ทารก แม้ในคนที่ร่างกายปกติแข็งแรงดี ก็ไม่ควรรับสารเหล่านี้ เพราะจะไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการตื่นตัวมากกว่าปกติ
“แม้โรคหัวใจหรือโรคความดันโลหิต จะเป็นโรคที่เกิดจากหลายสาเหตุ แต่การกินเนื้อสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้างสะสม อาจเป็นตัวกระตุ้นให้อาการต่างๆ ปรากฎจนเป็นอันตรายได้” ผศ.ดร.รชา กล่าว
สำหรับข้อสงสัยที่ว่า ในสหรัฐอเมริกา มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อสัตว์ แต่พลเมืองยังปลอดภัยดี และไม่มีรายงานการเสียชีวิตนั้น ตั้งข้อสังเกตได้ว่า เป็นไปได้ว่าในสหรัฐ ผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจหรือโรคความดัน อาจไม่ได้รับการไปตรวจสอบถึงสาเหตุของโรคว่ามาจากการกินเนื้อสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดง จึงทำให้ไม่พบข้อมูลรายงาน
ดังนั้น หากมีการเปิดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐ ซึ่งมีการใช้สารเร่งเนื้อแดง แม้เพียง 1% ย่อมเกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคไม่มากก็น้อย รวมถึงหากประเทศไทยปรับกฎหมายเพื่อรองรับการเปิดนำเข้าหมูปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดง ก็อาจส่งผลให้ภาคปศุสัตว์ของไทยหันกลับมาใช้สารดังกล่าวอีกครั้ง หลังจากเลิกใช้มานานกว่า 30 ปี ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประชาชนผู้บริโภค