ไม่ไว้ใจอีกต่อไป!เตือนUSกำลังสูญเสียความได้เปรียบจีน ผลจากนโยบายรีดภาษีพันธมิตร
สหรัฐฯ กำลังสูญเสียความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ที่มีเหนือจีน สืบเนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถอนอเมริกาออกจากเวทีโลกและแนวทางนโยบายต่างประเทศแบบแลกเปลี่ยน(transactional approach หรือ รูปแบบการบริหารที่เน้นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างผู้นำและผู้ตาม) จากคำเตือนของพรรคเดโมแครตที่ระบุในรายงานฉบับหนึ่ง
ในรายงานที่เขียนโดยเดโมแครต อ้างอิงผลสำรวจความคิดเห็นในช่วงการดำรงตำแหน่ง 6 เดือนของทรัมป์ เตือนว่ายุคสมัยของผู้นำรายนี้ กำลังบ่อนทำลายศักยภาพของวอชิงตันในการแข่งขันกับจีน
รายงานได้เน้นย้ำถึงกรณีลดจำนวนเจ้าหน้าที่ ณ กระทรวงการต่างประเทศ และการล้างบางที่ก่อความปั่นป่วนในสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) และสำนักงานสื่อโลกแห่งสหรัฐอเมริกา (USAGM) ซึ่งกำดับดูแลวอยซ์ออฟอเมริกาและเรดิโอฟรีเอเชีย ว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ก่อความอ่อนแอแก่อำนาจและอิทธิพลของสหรัฐฯ
ในรายงานที่เผยแพร่โดยสมาชิกพรรคเดโมแครต ในคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ต่างประเทศแห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ ให้คำจำกัดความจีนว่าเป็น "ความท้าทายทางยุทธศาสตร์ที่ต่างจากประวัติศาสตร์เก่าๆใดๆของประเทศของเรา ด้วยที่มียุทธศาสตร์ระยะยาวโค่นสหรัฐฯ ลงจากอภิมหาอำนาจผู้นำโลก"
"ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ถอยห่างจากทั่วทุกมุมโลก โจมตีบรรดาพันธมิตร หั่นเครื่องมือทางการทูตของอเมริกาและอ้าแขนโอบกอดศัตรู จีนกำลังสร้างอิทธิพล แผ่ขยายความสัมพันธ์และเปลี่ยนโฉมระเบียบโลกไปสู่ความได้เปรียบของพวกเขา" จีน ชาฮีน วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง
เนื้อหาในรายงานระบุด้วยว่า จีน เคลื่อนไหวเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการที่ทรัมป์ถอนสหรัฐฯออกจากโครงการต่างๆระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นองค์การอนามัยโลกและความตกลงโลกร้อนปารีส ได้การเพิ่มเงินสนับสนุนในต่างแดนและยกระดับย่างก้าวทางการทูต
สงครามรีดภาษีของทรัมป์กับบรรดาคู่หูการค้าของสหรัฐฯ ก็บั่นทอนพันธมิตรและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเช่นกัน รายงานระบุ โดยชี้ว่ามันถึงขั้นผลักให้เหล่าพันธมิตรใกล้ชิดของอเมริกาหันหน้าเข้าหาจีน
เสียงเตือนจากเดโมแครต ซึ่งมีเสียงข้างน้อยทั้งในสภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภา มีขึ้นประจวบกับที่มีการเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นหนึ่งในวันอังคาร(15ก.ค.) ชี้ว่าโลกมีทัศนคติที่เปลี่ยนไป หันไปชอบจีนมากขึ้น
ผลสำรวจความคิดเห็นของศูนย์วิจัยพิว ในสหรัฐฯ พบว่ามีประชาชนใน 15 จากทั้งหมด 25 ประเทศ ที่มีมุมมองต่อจีนดีขึ้น ในนั้นรวมถึงเม็กซิโก, แอฟริกาใต้, ตุรกี, เคนยา และ อินโดนีเซีย เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว
แม้โดยรวมแล้ว ส่วนใหญ่ของโลกยังคงมองจีนในแง่ลบ โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามราว 54% ที่มีมุมมองไม่ชื่นชอบ แต่เวลานี้ จีน ถูกมองในฐานะมหาอำนาจสูงสุดของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหนือกว่าสหรัฐฯเล็กน้อย อ้างอิงผลสำรวจความคิดเห็นของ
ผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า 41% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มองจีนในฐานะชาติเศรษฐกิจอันดับท็อปของโลกในปี 2025 และมีเพียง 39% ที่มองว่ายังเป็นสหรัฐฯอยู่
พบเห็นมุมมองในเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงในหมู่ประเทศที่มีรายได้สูง 10 ชาติ ได้แก่แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เนเธอร์แลนด์, เกาหลีใต้, สเปน, สวีเดน และสหราชอาณาจักร โดยในกลุ่มนี้มีเพียงแค่ 35% ที่ยังมองสหรัฐฯในแง่บวก ลดลงจากระดับ 51% ในปี 2024
เอียน ชอง ศาสตราจารญ์ด้านรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่าสงครามการค้าของทรัมป์ก่อความเคลือบแคลงใจอย่างรุนแรงและไม่ไว้วางใจสหรัฐฯทั่วเอเชีย ในทุกวันนี้ "สำหรับบางชาติ ความร่วมมือกับจีน ดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ดึงดูดใจ"
เขากล่าวต่อว่า "อย่างไรก็ตาม การที่ไม่ตอบโต้อย่างหนักหน่วงต่อมาตรการรีดภาษีของสหรัฐฯ สะท้อนข้อเท็จจริงหนึ่งที่ว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคหรือไกลกว่านั้น ตระหนักดีว่าพกวเขาไม่สามาถอยู่รอดได้หากปราศจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ แม้ว่าพวกเขาอาจไม่ชื่นชอบเท่าไหร่ก็ตาม"
วิลเลียม หยาง นักวิเคราะห์ระดับสูงด้านเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ แห่งสถาบันวิจัย Crisis Group จีน กำลังถูกมองในฐานะคู่หูทางธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าเดิม ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เล็ดลอดออกมาจากสหรัฐฯ
"ในขณะที่ประเทศต่างๆกำลังรับมือกับความไม่แน่นอนที่นำพามาโดยรัฐบาลทรัมป์ ในชาติต่างๆมากขึ้น ในนั้นรวมถึงบรรดาพันธมิตรใกล้ชิดของอเมริกาในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก กำลังหาทางรักษาเสถียรภาพในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับจีน ด้วยการเพิ่มการคบค้าติดต่อทวิภาคีในระดับสูง" หยางกล่าว
(ที่มา:อัลจาซีราห์)
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO