FTA ไทย–EU เจรจารอบ 6 ได้ข้อยุติเพิ่ม 3 บท เร่งปิดดีลภายในสิ้นปี
วันนี้ (30 มิถุนายน 2568) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมกล่าวปาฐกถาในงาน EABC Luncheon: Advancing Trade, Investment, and FTAs in a Shifting Global Landscape จัดโดย สมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์(European Association for Business and Commerce: EABC) โดยมีผู้แทนภาคธุรกิจยุโรป สมาชิก EABC และผู้แทนทางการทูต เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง
นายพิชัย กล่าวว่า ปัจจุบันภาคการส่งออกของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง การส่งออกในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ขยายตัวถึง 13.3% ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุด ขณะที่ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวสูงถึง 14.9% โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียวโตถึง 18.4% และมีการลงทุนไหลเข้ามากถึง 2.58 ล้านล้านบาท สะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว และคาดว่าเดือนนี้ตัวเลขก็จะดีเช่นกัน
ทั้งนี้รัฐบาลมุ่งส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนในอุตสาหกรรมศักยภาพสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น แผงวงจรพิมพ์ (PCB) และเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์และ AI ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ
นอกจากนี้ ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการค้าระหว่างประเทศและการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) อย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การดึงดูดการลงทุน และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจภูมิรัฐศาสตร์ และภาษีทรัมป์
นายพิชัย กล่าวถึงความคืบหน้าในการเจรจา FTA ไทย–สหภาพยุโรป (EU) ว่า เป็นหนึ่งในลำดับความสำคัญสูงสุดของรัฐบาลไทย และได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน ความตกลง FTA ฉบับนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับยุโรป ขยายการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน เห็นว่าการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและนักธุรกิจยุโรปจะช่วยให้การเจรจา FTA ไทย-EU สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น
ทั้งนี้ การเจรจารอบที่ 6 ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้ข้อยุติใน 3 บท ได้แก่ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การค้ากับการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TSD) และอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (TBT) ส่งผลให้มีบทที่สรุปแล้วทั้งหมด 7 บท ขณะเดียวกันได้เริ่มหารือในหัวข้อสำคัญอย่างการเปิดตลาดแล้ว
“ความสำเร็จของการเจรจา FTA ไทย–EU ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย
จึงขอความร่วมมือและการสนับสนุนจากท่านเพื่อให้เราสามารถสรุปความตกลงฉบับนี้ได้ภายในสิ้นปีนี้ และสร้างผลประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว” นายพิชัย กล่าว
สำหรับความตกลงการค้าเสรี ไทยมี FTA ที่มีผลบังคับใช้แล้ว 14 ฉบับ ครอบคลุม 18 ประเทศทั่วโลก และได้เจรจาเสร็จสิ้นอีก 3 ฉบับกับศรีลังกา EFTA และภูฏาน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการให้สัตยาบัน โดยเฉพาะ FTA ไทย–EFTA ซึ่งเป็นความตกลงฉบับแรกกับประเทศในยุโรป ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายความร่วมมือทางการค้า
โดยสมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์ (EABC) ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2554 โดยความร่วมมือของหอการค้ายุโรป องค์กรธุรกิจยุโรป และนักธุรกิจในประเทศไทยกว่า 130 ราย อาทิ DHL, Airbus, AstraZeneca, PepsiCo และ L’Oréal โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนบรรยากาศการค้าและการลงทุนของยุโรปในไทย และใช้ไทยเป็นประตูสู่ตลาดอาเซียน
ทั้งนี้ในช่วงเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2568 EU เป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยมีมูลค่าการค้ารวม 18,092.23 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ร้อยละ 0.57
โดยไทยส่งออกไปยัง EU มูลค่า 10,696.81 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.86 และนำเข้าจาก EU มูลค่า 7,395.41 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 9.40 ส่งผลให้ไทยได้เปรียบดุลการค้ากับ EU มูลค่า 3,301.40 ล้านดอลลาร์