กัมพูชาเปิดก่อน ทหารไทยโต้กลับตามยุทธวิธี
จากเหตุการณ์ปะทะกันในพื้นที่แนวชายแดนไทยกัมพูชา ทำให้พลเรือนไทย และทหาร บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย จากการที่ทหารกัมพูชา เปิดฉากยิงเข้ามา ในประเทศไทยก่อน โดยพุ่งเป้ามาที่บ้านเรือนประชาชน และโรงพยาบาล อันเป็นการ ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาเจนีวาอย่างร้ายแรง ถือเป็น อาชญากรรมสงคราม
พลโทวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุถึงที่มาของเหตุการณ์ปะทะกันบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ปัจจุบันมีเหตุปะทะประปรายในพื้นที่ทั้ง 6 จุดตั้งแต่วันที่ผู้บัญชา การทหารบกเริ่มตรวจพร้อมรบของแต่ละหน่วย เริ่มมีข่าวกรอง แต่ยังไม่รู้เจตนาที่ชัดเจน แต่ในมุมมองความมั่นคง ก็ต้องมีการเตรียมพร้อมรบเราเห็นความเคลื่อนไหวของกัมพูชา ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เดือนมีนาคม จนในที่สุดก็มาขุดคูเลต
พื้นที่การขุดคูเลตไม่ใช่พื้นที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์แต่เป็นของประเทศไทยต่อให้ใช้แผนที่ฉบับ ไหนก็ตาม ทั้งแบบ 1 ต่อ 50,000 หรือ 1 ต่อ 200,000 ก็เป็นพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งเป็นการรุกล้ำเรายอมไม่ได้ เราใช้แนวทางสันติวิธีเป็น 100 ครั้ง ซึ่งช่วงหลังกัมพูชาไม่ให้ ความร่วมมือและนำทุ่นระเบิดไปวางหน้าคูเลต ตลอดจนการพบทุนระเบิด PMN-2 ล่าสุดเป็นสถานการณ์ที่มีเจตนาที่จะก่อกวนเพื่อจะดึงพื้นที่ 3 ปราสาทเข้าสู่ศาลโลก
ยุทธวิธีของกองทัพตอบโต้ ในระดับเหมาะสมกับสถานการณ์ทหารไทยมั่นใจในการใช้อาวุธ ทหารมีเกียรติในความเป็นทหาร จะใช้อาวุธกับใครก็ต้องอยู่สภาพที่มีอาวุธพร้อมใช้เหมือนกัน มันคือกติกาไม่มีใครอยากให้การปฏิบัติการทางทหารยืดเยื้อ เพราะไม่เกิดผลดีกับใครเลย ยืนยันว่าไทยไม่มีเจตนาหรือแรงจูงใจใดที่จะไปทำอย่างนี้กับกัมพูชา ถ้ามันเป็นไปด้วยความจำเป็นจากการถูกบังคับด้วยสถานการณ์
ประเทศไทยยึดหลักสันติมาโดยตลอด และเราจะมุ่งต่อเป้าหมาย ทางทหารเท่านั้นขณะที่ทางการกัมพูชา ปฏิเสธข้อกล่าวหาของไทย โดยออกแถลงการณ์ อ้างว่าไม่ได้ เป็นคนเริ่มก่อน และกล่าวหา ทหารไทยเป็นคนเปิดฉากยิงใส่กัมพูชาก่อน ทำให้กัมพูชา ต้องตอบโต้ด้วยยุทธวิธีทางการทหารกลับไป
โดยทางด้าน สมเด็จฯฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ส่งจดหมายลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ถึงอาซิม อิฟติคาร์ อาหมัด เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรปากีสถานประจำสหประชาชาติ ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)
แจ้งเรื่องการรุกรานด้วยอาวุธของไทยต่อกัมพูชา โดยมีเนื้อหาเรียกร้องขอให้มีการประชุมด่วน เพราะอ้างว่าไทยรุกราน คุกคามเสถียรภาพภูมิภาค
ขณะที่ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตโฆษกรัฐบาล ระบุว่า ในขณะที่กัมพูชาส่งเอกสาร ไปที่ UNSC นั้น นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้มาอยู่ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ ที่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นแล้ว ซึ่งเป็นการติดต่อสื่อสารกับสังคมระหว่างประเทศ ฉะนั้นในการก็สู้กัน ทหารก็ว่ากันไป ส่วนทางด้านการทูตก็เต็มสูบ”
ล่าสุด มีรายงานว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเตรียมจัดการประชุมฉุกเฉิน เพื่อหารือถึงการปะทะกันอย่างต่อเนื่องระหว่างไทยและกัมพูชา ขณะเดียวกัน คณะผู้แทนถาวรไทย ยังได้ส่งหนังสือไปถึงนายอันโตนิอู กุแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อแจ้งเหตุการ ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งเป็นอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ เก็บสะสม ผลิต และถ่ายโอนทุ่นระเบิด สังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิดดังกล่าว ต่อกรณีที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดจนขาขาดในวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ซึ่งกับระเบิดที่พบเป็นของที่เพิ่งถูกวางใหม่ และยังมีการเกิดเหตุซ้ำแม้ว่าไทยจะมีการเก็บกู้ ทุ่นระเบิดไปก่อนหน้านี้หลังเกิดเหตุครั้งแรกแล้วก็ตาม จึงขอให้มีการดำเนินการสอบสวนตามข้อกำหนด ในอนุสัญญา และขอให้กัมพูชาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนไทยอีกด้วย
ทั้งนี้ UNSC จะจัดให้มีการประชุมฉุกเฉินแบบที่เรียกว่า private meeting ซึ่งเป็นการประชุมปิดที่ใช้เวลาราว 15 นาที โดยจะมีเพียง 15 ชาติสมาชิกของ UNSC ร่วมกับผู้แทนถาวรไทยและกัมพูชาเข้าชี้แจงและกล่าวแถลง การณ์ของแต่ละประเทศในเวลา 15.00 น.ของ วันที่ 28 กรกฎาคมนี้ ตามเวลาในนครนิวยอรก์ต่อไป ซึ่งในส่วนของไทย นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติจะเป็นผู้เข้าร่วมประชุมดังกล่าว
ขณะที่ประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศ ต่างกำลังใจไปให้ทหารที่แนวชายแดน รวมทั้งพี่น้องประชาชน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แนวชายแดน ที่ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตัวเอง เพื่อความปลอดภัย และยังต้องติดตามผล การประชุมของ UNSC ด้วยว่า จะมีแนวทางให้ทั้ง 2 ประเทศ เกิดข้อยุติต่อสถานการณ์ความรุนแรง ไปในทิศทางใด
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews