กสศ.เผย เด็กม.ต้น สูบบุหรี่ไฟฟ้า มากกว่าบุหรี่มวน
28 มิ.ย.2568 - ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐอเมริกา ชี้ว่า “ระดับการศึกษา” มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมด้านสุขภาพสูงถึงร้อยละ 60 โดยชุมชนที่มีระดับการศึกษาสูงขึ้นจะมีแนวโน้มการสูบบุหรี่และภาวะโรคอ้วนลดลง ส่งผลให้อายุขัยเฉลี่ยของประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“ผลวิจัยนี้เปรียบเทียบข้อมูลในช่วงเวลา 30 ปี พบว่า ชุมชนที่ประชากรมีการศึกษาสูงขึ้น จะตระหนักเรื่องปัญหาสุขภาพ เคารพกติกาสังคม เช่น การงดสูบบุหรี่ และมีพฤติกรรมที่ส่งเสริมสุขภาวะมากขึ้น หากเราต้องการเห็นคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น เจ็บป่วยน้อยลง จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา เพื่อหยุดวงจรความเสี่ยงเหล่านี้ตั้งแต่ต้นทาง”
ดร.ไกรยสกล่าวด้วยว่า ในประเทศไทย ปัญหาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียนกำลังเป็นประเด็นที่น่าห่วง ล่าสุด กสศ. ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พัฒนาระบบ OBEC CARE ซึ่งเป็นต้นแบบระบบสารสนเทศเพื่อหลักประกันโอกาสทางการเรียนรู้ และการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาสังกัด สพฐ. ครอบคลุมการคัดกรองความเสี่ยงหลากหลายมิติ เช่น ด้านเศรษฐกิจ สุขภาพกายใจ สวัสดิภาพ ความปลอดภัย รวมถึงพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด
ข้อมูลจากระบบ OBEC CARE ปีการศึกษา 2567 ซึ่งครูได้สำรวจเด็กนักเรียนระดับ ป.1–ม.6 รวม 124,606 คน ใน 1,699 โรงเรียนจาก 30 เขตพื้นที่การศึกษานำร่อง พบว่า นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีแนวโน้มสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าบุหรี่มวนแล้ว โดยข้อมูลเชิงลึกจากการคัดกรองนักเรียนทั้งหมดระบุว่า ร้อยละ 24.77 เคยทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า ร้อยละ 22.04 คบเพื่อนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ร้อยละ 20.29 อาศัยในชุมชนที่มีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าให้เห็นเป็นประจำ
ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมเสี่ยงไม่ได้เกิดจากตัวเด็กเพียงลำพัง แต่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคม และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ก็อาจเร่งให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาเร็วยิ่งขึ้น โดยได้เชิญชวนผู้บริหารสถานศึกษาและครูนำข้อมูลจาก OBEC CARE วางมาตรการป้องกันที่ตอบโจทย์บริบทแต่ละพื้นที่
“ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา มีความซับซ้อนมากกว่าปัจจัยด้านความยากจนเพียงอย่างเดียว ในปีการศึกษา 2568 นี้ กสศ. และ สพฐ. ได้ขยายการใช้งานระบบ OBEC CARE ไปยังทั้ง 245 เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ พร้อมพัฒนาเครื่องมือให้ครูใช้ได้สะดวก ลดภาระในการกรอกข้อมูล และสามารถเข้าถึงข้อมูลเด็กแต่ละรายได้รวดเร็วขึ้น การเข้าถึงข้อมูลที่แม่นยำและทันเวลา จะช่วยให้ครูและโรงเรียนเฝ้าระวัง จัดการ และช่วยเหลือนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ไกรยส กล่าว