นักสิทธิมนุษยชน ถูกทหารฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมฯ จากการช่วยชาวบ้าน ‘ทวงเงินจากค่ายทหาร’
อัญชนา หีมมิหน๊ะ นายกสมาคมด้วยใจเพื่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และนักสิทธิมนุษยชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กำลังเผชิญคดีความที่ถูกมองว่าเป็นการ ฟ้องปิดปาก (SLAPP) จากกรณีโพสต์เฟซบุ๊กเพื่อทวงเงินค่าน้ำประปาจำนวน 20,000 บาท ที่มัสยิดแห่งหนึ่งยังไม่ได้รับจากหน่วยทหาร แม้จะแก้ไขข้อมูลพื้นที่แล้วก็ตาม
เรื่องเริ่มต้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 ที่อัญชนาได้รับแจ้งว่ามัสยิดในอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ไม่ได้รับเงินค่าน้ำประปาจากค่ายทหารที่มาใช้น้ำ เธอจึงโพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อกระจายข่าวและขอคำแนะนำ
ในวันถัดมา อัญชนาก็ได้แก้ไขข้อมูลที่อยู่ของมัสยิดให้ถูกต้อง เป็น ตำบลบือเระ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี และหลังจากนั้นไม่นาน กรมทหารพรานที่ 44 ก็ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์เพื่อชี้แจงว่ามีการค้างชำระจริง แต่มีการทำข้อตกลงและมีการผ่อนชำระให้มัสยิดอยู่ พร้อมชี้แจงตัวเลขโดยคร่าว
แต่แทนที่เรื่องจะจบลงเพียงเท่านั้น วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องค่าน้ำประปา แต่ตั้งอยู่ในพื้นที่ อำเภอบาเจาะ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกกล่าวถึงในโพสต์ครั้งแรก ได้แจ้งความกล่าวโทษอัญชนาในข้อหา ‘กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา’ โดยอ้างว่าการโพสต์ดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของกองทัพเรือ
จนวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 อัญชนาได้รับแจ้งข้อหาเพิ่มเติมตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดินและไม่สามารถยอมความได้ ทำให้ต้องเดินทางเข้ารายงานตัวต่ออัยการจังหวัดนราธิวาสอย่างต่อเนื่องถึง 5 เดือน และล่าสุดในวันที่ 17 มิถุนายน 2568 อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง และมีกำหนดส่งฟ้องศาลในวันที่ 15 กรกฎาคม 2568
เมื่อกรณีที่เกิดขึ้น เป็นคดีความระหว่างนักสิทธิมนุษยชน กับเจ้าหน้าที่รัฐ จึงทำให้คนตั้งข้อสังเกตว่า คดีความครั้งนี้ไม่ใช่เพียงคดีความทั่วไป แต่อาจเป็นการฟ้องปิดปาก (SLAPP) ซึ่งหมายถึงการนำกระบวนการยุติธรรมมาเป็นเครื่องมือเพื่อข่มขู่และสร้างภาระให้แก่ประชาชนหรือองค์กรที่ออกมาตรวจสอบ แสดงความคิดเห็น หรือตั้งคำถามต่อการทำงานของภาครัฐหรือผู้มีอำนาจ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความยุ่งยาก เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และบั่นทอนกำลังใจในการเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์สาธารณะ
มีความกังวลด้วยว่า คดีนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัว แต่เป็นสัญญาณอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ผู้ติดตามคดีนี้จึงเรียกร้องให้สาธารณชนให้ความสนใจ ติดตามข่าว และยืนหยัดเคียงข้างอัญชนา เพื่อยืนยันหลักการที่ว่า "ประชาชนมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและตั้งคำถามต่อรัฐ"
อ้างอิงจาก