กระบอกน้ำมรณะ เด็ก 7 ขวบ สูญเสียตับ-ม้าม ฆาตกรเงียบที่ผู้ปกครองมองข้าม
กระบอกน้ำมรณะ เด็ก 7 ขวบต้องสูญเสียตับ-ม้าม เพื่อรักษาชีวิต ฆาตกรเงียบที่ผู้ปกครองมองข้าม
รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน อาจแฝงไปด้วยความเสี่ยงใหญ่ต่อสุขภาพของเด็ก ๆ จากสถิติของสมาคมการแพทย์ญี่ปุ่น ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 จนถึงปัจจุบัน มีการบันทึกไว้อย่างน้อย 14 กรณีที่เด็กได้รับบาดเจ็บอวัยวะภายในอย่างรุนแรงจากการสะพายขวดน้ำพาดเฉียงลำตัวขณะวิ่งเล่น หลายรายต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน บางรายถึงขั้นต้องผ่าตัดตัดตับอ่อนและม้ามบางส่วนออก
กรณีตัวอย่างที่หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น รายงาน คือ เด็กชายวัย 7 ขวบคนหนึ่ง ระหว่างที่วิ่งเล่นในสนามโรงเรียน เขาล้มลงและก้นขวดน้ำที่สะพายพาดหน้าอกกระแทกเข้าที่ท้องอย่างแรง หลังจากนั้นเขามีอาการอาเจียนอย่างต่อเนื่อง ร่างกายอ่อนแรง ใบหน้าซีดเผือด เมื่อนำส่งโรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่าเด็กมีอาการบาดเจ็บที่ตับอ่อนอย่างหนัก จนจำเป็นต้องผ่าตัดตับอ่อนออกครึ่งหนึ่งและตัดม้ามออกทั้งหมดเพื่อรักษาชีวิต
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า เด็กเล็กมีกระดูกที่ยังอ่อน กล้ามเนื้อและผิวหนังบาง จึงไม่สามารถปกป้องอวัยวะภายในจากแรงกระแทกได้ การล้มเพียงครั้งเดียวขณะสะพายขวดน้ำพาดเฉียงลำตัวอาจก่อให้เกิดผลร้ายแรงเกินคาดคิด
กุมารแพทย์ในญี่ปุ่นเน้นย้ำว่า ผู้ปกครองควรสังเกตบุตรหลังก้าวพลาดล้ม หากเด็กบ่นปวดท้อง อาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ร่วมกับอ่อนเพลียหรือหน้าซีด ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที แม้พ่อแม่จะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตา แต่หากเด็กบอกว่าขวดน้ำกระแทกท้อง ก็ไม่ควรละเลยโดยเด็ดขาด
ต่อสถานการณ์ที่น่ากังวลนี้ ในเดือนมีนาคม 2024 สำนักงานครอบครัวและเด็กของญี่ปุ่นได้ออกคำแนะนำใหม่ใน “คู่มือป้องกันอุบัติเหตุ” ระบุให้ผู้ปกครองหลีกเลี่ยงการให้เด็กสะพายขวดน้ำพาดเฉียง โดยควรเก็บไว้ในกระเป๋าเป้ และห้ามนำติดตัวขณะวิ่งเล่นโดยเด็ดขาด
ผู้ผลิตชื่อดังอย่าง Tiger และ Zojirushi ก็ได้ปรับคำแนะนำการใช้งานเช่นกัน โดยพิมพ์คำเตือนชัดเจนว่า ไม่ควรสะพายขวดน้ำพาดเฉียงขณะทำกิจกรรม ควรใส่ไว้ในกระเป๋าเป้หรือกระเป๋าสะพายหลัง และต้องถอดออกเมื่อเล่นสไลเดอร์ ชิงช้า หรือกิจกรรมที่ใช้แรงมาก
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงของใช้ใกล้ตัวอย่าง “ขวดน้ำ” อาจกลายเป็น “นักฆ่าเงียบ” สำหรับเด็กเล็ก กรณีในญี่ปุ่นจึงเป็นเครื่องเตือนใจพ่อแม่ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ว่าควรใส่ใจแม้เพียงรายละเอียดเล็กน้อยในพฤติกรรมประจำวันของลูก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดและน่าเสียใจ