สทนช. หนุนภาคประชาชนร่วมจัดการน้ำ จี้แก้กฎหมาย ตั้ง ‘องค์กรผู้ใช้น้ำ’
ภูมิภาค-สช. สานพลังภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่ “การจัดการน้ำชุมชน” ระบุ ต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ผ่อนปรนการจดทะเบียนองค์กรผู้ใช้น้ำให้ง่ายขึ้น ช่วยเกิดการรับรู้ความเสี่ยงและพร้อมรับมือภัยพิบัติ
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่าย จัดเวทีแลกเปลี่ยนสถานการณ์การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมในการส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2568 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ และบทเรียนจากภาคส่วนต่างๆ จัดทำเป็นข้อเสนอต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด และองค์กรผู้ใช้น้ำ ตลอดจนนำเข้าสู่งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 27-28 พ.ย. นี้ ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี
นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่าแม้ว่าภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้มีการจัดตั้ง สทนช. มีคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) มีคณะกรรมการลุ่มน้ำ มีองค์กรผู้ใช้น้ำ และกำหนดแผนป้องกันแก้ไขภาวะน้ำท่วม แต่ที่ผ่านมายังไม่ได้คำนึงถึงการเปิดให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมจัดการทรัพยากรน้ำอย่างที่ควรจะเป็นตามเป้าหมายที่ระบุไว้ในกฎหมาย ส่วนตัวมองว่าจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับภาคประชาชนอย่างจริงจัง
เมื่อมองย้อนหลังกลับไป นอกเหนือจากสิ่งที่รัฐดำเนินการเรื่องโปรเจกต์ขนาดใหญ่แล้ว สิ่งที่ยังต้องเพิ่มเติมคือการจัดการน้ำเชิงพื้นที่ ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 จุดอ่อนคือ 1.การรับรู้ความเสี่ยง 2.ความสามารถในการรับมือ ซึ่งสะท้อนจากความเสียหายจากอุทกภัย เช่น จ.น่าน ที่เพิ่งเจอพายุวิภา มีมวลน้ำปริมาณกว่า 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เกิดความเสียหายมากกว่า 5,000 ล้านบาท ยังไม่ทันฟื้นตัวได้ดี กลับโดนซ้ำเติมอีกครั้งจากพายุคาจิกิ
“สิ่งเหล่านี้คือความสำคัญของภาคประชาชนหรือองค์กรผู้ใช้น้ำเข้าไปบริหารจัดการ เพราะภาครัฐไม่อาจเข้าใจบริบทและสถานการณ์ได้รวดเร็วเท่ากับคนที่อยู่ในพื้นที่ จึงเป็นบทบาทของ สทนช. และกนช. จะต้องเข้าไปหนุนเสริมให้เกิดการจัดตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ ให้เกิดการมีส่วนร่วมในพื้นที่ ดังนั้นกลไกหรือกฎกระทรวงควรจะต้องผ่อนปรนขั้นตอนจดทะเบียนให้ง่ายขึ้น และทำให้การคงอยู่ขององค์กรผู้ใช้น้ำดำเนินไปอย่างเคารพภูมิปัญญาภาคประชาชนในพื้นที่”นายไพฑูรย์ กล่าว
ด้านนายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 16 พ.ศ. 2566 ได้ฉันทมติเห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่ 16.2 เรื่องการส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่อย่างมีส่วนร่วมในลักษณะหุ้นส่วนของภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และกลุ่มเครือข่าย โดยมีแผนบูรณาการกับคณะกรรมการลุ่มน้ำ คณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด องค์กรผู้ใช้น้ำ
หลังจากขับเคลื่อนมติดังกล่าวแล้ว สิ่งสำคัญคือการทำให้เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรมว่ามีการยกระดับและขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมถึงเชื่อมโยงไปทั้งในระดับพื้นที่จนถึงกลไกแห่งชาติอย่างไรสิ่งที่ต้องการจากการสรุปแลกเปลี่ยนบทเรียนในวันนี้ คือข้อเสนอหรือนวัตกรรมใหม่ที่พบในระหว่างทางหรือจากกระบวนการในการขับเคลื่อนที่ผ่านมา เพื่อนำไปบูรณาการเชื่อมโยง ในกลไกขององค์กรที่มีอยู่แล้วทั้งองค์กรระดับกระทรวง ระดับพื้นที่ และเครือข่ายต่างๆ เพื่อให้เกิดการยกระดับการพัฒนามากขึ้น และขยายไปสู่พื้นที่อื่นๆในอนาคต
นายวีฤทธิ์ กวยะปาณิก เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ กล่าวว่า จ.แพร่ ได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำจังหวัดแพร่ขึ้น ภายใต้ความร่วมมือของอบจ.แพร่และจังหวัด เพื่อบริหารจัดการน้ำในจังหวัดเป็นทิศทางเดียวกัน โดยได้ประสานงานกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. เพื่อขอให้สนับสนุนข้อมูลสารสนเทศมาใช้วางแผน ตลอดจนรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงานที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วจังหวัด โดยอ้างอิงจากข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) นำมาบูรณาการรวมไว้ที่ศูนย์ฯ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลางบริหารจัดการ
แม้จ.แพร่ จะเผชิญปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำหลากเป็นประจำทุกปี แต่หลังจากจัดตั้งศูนย์ฯ ทำให้สามารถแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าได้ อาศัยข้อมูลจากหน่วยงานราชการ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา ผสานกับเครือข่ายน้ำชุมชนในพื้นที่ เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนเผยแพร่ พร้อมทั้งใช้คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติและแพลตฟอร์ม “HelpT น้ำท่วมช่วยด้วย ในการบริหารจัดการน้ำและแจ้งเตือนภัย
ด้าน รศ.ดร.นิรมล สุธรรมกิจ ผู้อำนวยการหน่วยภารกิจยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563-2568 สกสว. ได้สนับสนุนทุนให้เกิดงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ทั้งสิ้น 300 โครงการ ใช้งบประมาณไปทั้งหมด 474 ล้านบาท แบ่งเป็นทุนสนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์ (Strategic Fund: SF) จำนวน109 โครงการ และทุนสนับสนุนงานมูลฐาน (Fundamental Fund: FF) จำนวน 191 โครงการ
โดยลักษณะโครงการวิจัยทั้ง 2 ประเภท มุ่งเน้นไปสู่การคิดค้นองค์ความรู้และนวัตกรรมการจัดการภาวะน้ำท่วมและภาวะน้ำแล้งเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาภายใต้การสนับสนุนทุนในการวิจัย ได้ก่อให้เกิดเทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ด้านการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำมากมาย ทั้งในมิติการจัดการน้ำเพื่อการเกษตร การบริหารจัดการเพื่อความมั่นคง มิติน้ำต้นทุนและความต้องการใช้น้ำ การจัดการภาวะน้ำท่วมน้ำแล้ง และการแจ้งเตือนภัย
“สิ่งที่อยากสะท้อน คือเรามีงานวิจัยอยู่มากมาย ให้หน่วยงานและองค์กรทุกระดับที่มีบทบาทแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ สามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้งานได้ และหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ทาง สกสว. ยินดีสนับสนุน” รศ. ดร.นิรมล กล่าว
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO