วิเทศวิถี : 75ปีแห่งสัมพันธ์อันเปราะบาง
วิเทศวิถี : 75ปีแห่งสัมพันธ์อันเปราะบาง
ปีพ.ศ. 2568 นับเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เพราะถือเป็นปีที่ครบ 75 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่งจะลืมเลือนรอยร้าวจากความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหาร หลังจากที่กัมพูชาได้ยื่นเสนอให้มีการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2551 จนทำให้เกิดการปะทะทางทหาร และทั้งสองประเทศพากันไปขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินในปี 2556 ว่ากัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ทั้งหมดของยอดเขาพระวิหาร ซึ่งรวมถึงตัวปราสาท แต่ศาลโลกไม่ได้ตัดสินเรื่องเส้นเขตแดน ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร อย่างไรก็ดี การเจรจาเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ก็เหมือนถูกแช่แข็งไปนับจากนั้นเป็นต้นมา
ผ่านมา 12 ปี ข้อพิพาทเรื่องชายแดนระหว่างสองประเทศปะทุขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ย้ายจุดไปยังช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี ซึ่งนำไปสู่การสู้รบและความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดตามมา และดูเหมือนว่าความขัดแย้งในคราวนี้จะส่งผลกระทบและสร้างความสูญเสียมากกว่าครั้งก่อน และความแตกแยกร้าวลึกดูเหมือนจะยากประสานมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งคงไม่มีใครจะนึกว่า การปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชาจะเกิดขึ้นในยุคที่รัฐบาลมาจากสองตระกูลซึ่งเคยมีมิตรภาพอันแน่นแฟ้นใกล้ชิดมาหลายสิบปีเช่นนี้
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ การปลุกกระแสการเสียดินแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่เคยจบลงโดยไม่มีการสูญเสีย เพียงแต่ในโลกปัจจุบันที่ปัญหาต่างๆ รุมเร้าเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะทั้งจากการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงระหว่างจีน-สหรัฐ ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงท่ามกลางความหวั่นวิตกเรื่องออนไลน์สแกม การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ดูจะไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม ทั้งยังถูกซ้ำเติมจากการเรียกเก็บภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ประเด็นปัญหาเขตแดนที่พ่วงเอาคำว่าขายชาติและเสียดินแดนจะถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางปัญหามากมายที่กำลังทับถมกันอยู่แล้ว
เหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่ได้ส่งผลกระทบกับสองประเทศเท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของอาเซียนโดยรวม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ อาเซียนเป็นองค์กรความร่วมมือในอนุภูมิภาคที่ดูเหมือนจะมีอนาคตของความร่วมมือดีกว่าในอีกหลายๆ พื้นที่ของโลก มีเพียงประเด็นเรื่องเมียนมาที่ดูจะเป็นปัญหาของอาเซียนที่ถูกพูดถึง แต่มาถึงเวลานี้ การปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองและกระทบกับความน่าเชื่อถือของอาเซียน อย่างที่นายวิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์พูดออกมาตรงๆ และถึงกับบอกด้วยว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ถือเป็นความพ่ายแพ้และความสูญเสียครั้งใหญ่ของอาเซียน
แม้ว่าประเทศอาเซียนอื่นๆ จะไม่มีใครออกมาพูดเช่นนายวิเวียน แต่เชื่อว่าคงมีประเทศอาเซียนจำนวนมากที่คิดไม่ต่างกัน แต่ด้วยนโยบายไม่แทรกแซงกิจการภายในที่เป็นหลักปฏิบัติอันยาวนานของอาเซียน ทำให้ประเทศอื่นเลือกที่จะเงียบ แต่กระนั้นในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (เอเอ็มเอ็ม) ครั้งที่ 58 ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม บรรยากาศของที่ประชุมโดยรวมก็ดูจะไม่ค่อยสบายใจกับเหตุขัดแย้งระหว่งไทย-กัมพูชานัก นั่นยังเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ก่อนที่จะมีการเปิดฉากสู้รบกันด้วยกำลังในเวลาต่อมาเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี การที่มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ได้แสดงบทบาทคนกลางในความพยายามไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง ทั้งจากที่มีการโทรประสานให้เกิดการหยุดยิงในครั้งแรก ไปจนถึงการช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดประชุมการเจรจาหยุดยิงระหว่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี และ สมเด็จฯฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หลังการออกมาประกาศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ให้ทั้งสองประเทศหยุดยิง โดยในการหารือมีเอกอัครราชทูตสหรัฐและเอกอัครราชทูตจีน ซึ่งแสดงท่าทีว่าพร้อมจะมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในการยุติความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาก่อนหน้านี้ ก็ยังช่วยให้เกิดภาพที่ดีขึ้นมาได้บ้าง
อย่างน้อยก็ยังไม่ทำให้ดูเหมือนว่าไทย-กัมพูชา เลือกที่จะหารือหยุดยิงเพราะคำประกาศและการกดดันของประธานาธิบดีสหรัฐ แต่เป็นการเจรจาที่มีประธานอาเซียนเป็นคนดำเนินการ ภายใต้ข้อริเริ่มของสหรัฐและการมีส่วนร่วมของจีน ที่ไม่เป็นการเลือกข้างฝ่ายใด
จากวันที่มีการเจรจาหยุดยิงเมื่อ 28 กรกฎาคม จนถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) สมัยวิสามัญ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ได้ข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน 10 ข้อ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะเดินหน้าปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงที่ผู้นำไทยและกัมพูชาได้บรรลุร่วมกันก่อนหน้านี้ แม้ว่าสถานการณ์ในพื้นที่คงไม่จบลงแบบทันทีทันควัน แต่อย่างน้อยก็หวังว่าเราไม่น่าจะได้เห็นเหตุปะทะหรือความสูญเสียครั้งใหญ่ที่กระทบกับพลเรือนทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นอีก
กระนั้นก็ดี ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจริงทั้งกับทหารและพลเรือนในพื้นที่ ก็ยังคงเป็นเรื่องน่าเศร้าและไม่อาจที่จะย้อนกลับไปแก้ไขได้ และทุกอย่างจะจบลงได้อย่างแท้จริงหลังจากนี้ หากทุกฝ่ายตระหนักว่าที่สุดแล้วการแก้ไขปัญหาต้องมาจากการพูดคุย ไม่ใช่การสู้รบ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในส่วนของความรู้สึกของประชาชนทั้งสองฝ่ายที่ถูกปลุกเร้าให้เกลียดชังกันและกัน การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตที่ถูกลดระดับ และการค้าระหว่างสองประเทศ คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหรืออาจจะใช้เวลานานที่จะฟื้นฟูขึ้นมาได้ และกว่าจะไปถึงระดับเช่นที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ก็คงไม่ง่ายดายนัก
อีกปรากฎการณ์หนึ่งที่เราได้เห็นกันในครั้งนี้ คือการต่อสู้กันในสงครามข่าวสารที่เต็มไปด้วยข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวปล่อย และข่าวเท็จมากมาย สิ่งหนึ่งที่ควรต้องตระหนักคือ ข่าวปลอมเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ยิ่งใครเลือกที่จะทำแบบนั้น ที่สุดแล้วผลแห่งการดำเนินการดังกล่าวก็จะลดทอนความน่าเชื่อถือของคนทำเอง
ไม่อย่างนั้นเราคงไม่เห็นปรากฎการณ์ที่ สมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับข่าวที่สื่อกัมพูชาเองเผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้ว่า ไทยวางแผนลอบสังหารตัวเขาและ สมเด็จฯฮุน มาเนต บุตรชาย ด้วยการส่งเครื่องบินเล็กที่เพิ่งได้มาจากเกาหลีใต้ไปทิ้งขีปนาวุธในดินแดนกัมพูชา และในอีกหลายๆ กรณีที่ทำให้สถานทูตต่างประเทศจำนวนมาก ตั้งแต่ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ พากันออกมาปฏิเสธข่าวปลอมต่างๆ ที่ถูกพาดพิงในช่วงที่ผ่านมาด้วย“ความจริงเท่านั้นที่ชนะ” ไม่ใช่แค่คำกล่าวสวยๆ แต่มันเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ว่า ใครที่เชื่อถือได้ในเหตุการณ์นี้
ณ จุดนี้ เมื่อไทย-กัมพูชา ต่างตกลงหยุดยิงแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรมต่อไป ผ่านการเจรจาคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (อาร์บีซี) ที่กำหนดจะมีขึ้นสองสัปดาห์หลังจากนี้ และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ที่กำหนดจะมีขึ้นในเดือนกันยายนนี้ต่อไป
หวังว่าก่อนจะถึงวันที่ 19 ธันวาคมนี้ ที่จะครบ 75 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-กัมพูชา สถานการณ์ต่างๆ จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น เพื่อที่ปีที่ควรจะเป็นปีแห่งการฉลองความสัมพันธ์ที่ดี จะไม่กลายเป็นปีแห่งความสูญเสียมากไปกว่าที่เป็นอยู่แล้วในเวลานี้
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : วิเทศวิถี : 75ปีแห่งสัมพันธ์อันเปราะบาง
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th