รัฐรับข้อเสนอหอการค้า 4 มาตรการ ฟื้นเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 ส.ค.68) เมื่อเวลา 11.30 น. นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้แทนจาก 7 จังหวัด ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้เข้าพบนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือเยียวยา และบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน
นายพิชัย เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกันว่า รัฐบาลได้รับข้อเสนอมาตรการเยียวยาผลกระทบ จากกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนของภาคเอกชน เพื่อรวบรวมออกเป็นมาตรการมารองรับผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยรัฐบาลจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปในทุกประเด็น เพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ และการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว เช่น การดึงงานสัมมนาไปจัดในพื้นที่ และมีสิทธิพิเศษทางด้านภาษี
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน นายพิชัย ระบุว่า จะนัดหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะบริหารจัดการแรงงานอย่างไร ทั้งแรงงานที่อยู่ในประเทศ แรงงานที่มีใบอนุญาตอยู่แล้วจะให้ทำงานต่อได้หรือไม่ หรือแรงงานที่ไม่มีใบอนุญาตก็ต้องดึงมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง รวมไปถึงการจัดหาแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เช่น แรงงานจากบังกลาเทศ เป็นต้น
ส่วนมาตรการช่วยเหลือทางด้านภาษี ที่ผ่านมารัฐบาล ได้อนุมัติมาตรการภาษีไปแล้วหลายรายการ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีหัก ณ ที่จ่ายภาษี สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกับการยืดระยะเวลา การชะลอการจัดเก็บภาษีต่างๆ ที่รัฐบาลได้เร่งออกมาช่วยเหลือ
นอกจากนี้ รัฐบาลจะประสานกับธนาคารพาณิชย์เพื่อออกมาตรการช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติม หลังจากที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว
"วันนี้รัฐบาลได้รับทราบผลกระทบจากภาคธุรกิจ ซึ่งทางหอการค้า ได้รวบรวมจากทุกคนที่ได้รับผลกระทบมายื่นให้รัฐบาลพิจารณา จากนี้จะดูเป็นเรื่องๆ เป็นกลุ่มธุรกิจ เพื่อพิจารณาว่าใครได้รับผลกระทบเรื่องอะไร และคงต้องดูทางฝ่ายความมั่นคง ประเมินด้วยว่าสถานการณ์ในพื้นที่จะเป็นอย่างไร จะได้เร่งขั้นตอนการฟื้นฟู" นายพิชัย กล่าว
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ตอนนี้ภาคเอกชนเห็นว่าสถานการณ์เองคลี่คลายลงแล้ว จึงได้มายื่นข้อเสนอที่รวบรวมจากเอกชนมาเสนอให้รัฐบาล เพื่อจะได้เร่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา ทั้ง 7 จังหวัด โดยมาตรการทั้งหมดนี้ คิดว่าภาครัฐจะสามารถดำเนินการได้ และมีความเหมาะสม
สำหรับข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือ เยียวยากรณีผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา โดย หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยที่นำเสนอต่อรัฐบาลครั้งนี้ มีด้วยกัน 4 มาตรการหลัก ประกอบด้วย
มาตรการทางด้านภาษี /ค่าธรรมเนียม
1. ขอให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดให้นิติบุคคล และห้างหุ้นส่วนที่จัดประชุมสัมมนา หรือศึกษาดูงานและเข้าพักในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนที่กำหนดสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
2. ขอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณามาตรการลดภาษีในส่วนของภาษีท้องถิ่น ได้แก่ ภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย รวมถึงภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยให้ลดอัตราภาษีลง 90% จากอัตราที่กำหนดไว้เดิม
3. ขอให้กระทรวงการคลัง พิจารณาใช้มาตรการภาษีเฉพาะพื้นที่ 7 จังหวัด ดังนี้
(1) ยกเว้นเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม สำหรับผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ต่ำ/เกินกว่า 25% ของกำไรสุทธิ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่สงบ
(2) ขยายเวลาการยื่นแบบ และชำระภาษี 3-6 เดือน ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในพื้นที่
(3) ลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจาก 3% เหลือ 1% เป็นเวลา 1 ปี สำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดน
มาตรการการเงินเพื่อสภาพคล่องผู้ประกอบการ
1. ขอให้ธนาคารพาณิชย์ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน และผู้ประกอบการ ในลักษณะที่สอดคล้องหรือใกล้เคียงกับมาตรการของสถาบันการเงินของรัฐที่ได้มีมาตรการช่วยเหลือออกมาแล้ว
2. ขอให้ธนาคารภาครัฐออกมาตรการ “เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำฉุกเฉิน” ในวงเงิน ไม่เกิน 50,000 บาทต่อครัวเรือน และดอกเบี้ยไม่เกิน 1% ต่อปี โดยยกเว้นการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยใน 12 เดือนแรก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเร่งด่วนของครัวเรือนในพื้นที่
3. พิจารณาจัดตั้ง “กองทุนฟื้นฟูชายแดน” วงเงิน 5,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ/การท่องเที่ยว
1. ขอให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พิจารณามาตรการสนับสนุนหรืองบประมาณแก่หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน สำหรับการจัดกิจกรรมสัมมนา และศึกษาดูงานในพื้นที่ 7 จังหวัด เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยกำหนดพื้นที่ที่มีความปลอดภัยเป็นลำดับแรกๆ
2. ขอให้ภาครัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ที่มีแผนจัดประชุม สัมมนา หรือศึกษาดูงาน พิจารณาเลือกใช้สถานที่ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนเป็นพื้นที่สำหรับการจัดประชุม สัมมนา หรือศึกษาดูงานเป็นลำดับแรกเพื่อเป็นการส่งเสริมการกระจายรายได้ และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
มาตรการด้านแรงงาน และการจ้างงาน
1. ขอให้กระทรวงแรงงานพิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท สำหรับสถานประกอบการในประเภทธุรกิจโรงแรม และสถานบริการ และขอให้ยังคงใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่เคยกำหนดไว้เดิม
2. ปรับลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง และผู้ประกันตนลงให้เหลือ 0.5% เป็นเวลา 1 ปี รวมทั้งขยายกำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา39 (อ้างอิงกับมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย)
3. สนับสนุนนำเข้าแรงงานทดแทนจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม เช่น สปป.ลาว หรือเมียนมาโดยปรับขั้นตอนการนำเข้าแรงงานให้รวดเร็ว และง่ายขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าแรงงาน พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้แรงงานต่างด้าวในการลงทะเบียนและขออนุญาตทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเสนอให้นำแรงงานจากประเทศ อื่นๆ มาเพิ่มเติม อาทิ จากประเทศบังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น และสภาหอการค้าฯ พร้อมที่จะหารือกับกระทรวงแรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาระยะสั้น และเตรียมพร้อมรับมือแก้ปัญหาระยะยาวอย่างยั่งยืน
4. จัดตั้งศูนย์ประสานงานแรงงานระดับจังหวัด เพื่อช่วยจับคู่แรงงานกับผู้ประกอบการที่ต้องการแรงงานเร่งด่วน และประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐในจังหวัด และส่วนกลาง เพื่อให้ดำเนินการได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
5. สำหรับแรงงานกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทย ขอให้พิจารณาผ่อนปรนให้สามารถกลับเข้ามาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยใช้บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) เป็นเอกสารแสดงตนในเบื้องต้น และเมื่อเดินทางเข้ามาแล้ว ให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
6. สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ปัจจุบันยังคงพำนัก และทำงานอยู่ในประเทศไทย ขอให้พิจารณาเปิดช่วงเวลาให้นายจ้างหรือแรงงาน สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียน และจัดทำเอกสารให้ถูกต้องตามกฎหมาย ภายในระยะเวลา 2 เดือน เพื่อให้การจ้างงานเป็นไปอย่างโปร่งใส และสอดคล้องกับกฎหมายแรงงาน
7. ในการจัดทำบันทึกความตกลง (MOU) รอบใหม่ สำหรับแรงงานกัมพูชาที่เคยเข้ามาทำงานในประเทศไทย ขอให้พิจารณามาตรการผ่อนปรนค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนแรงงาน เพื่อจูงใจให้มีการดำเนินการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเสนอให้ลดค่าใช้จ่ายลง 50% หรือมากกว่านั้น ตามความเหมาะสมเพื่อบรรเทาภาระของนายจ้าง และแรงงาน และส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานอย่างเป็นระบบ
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์