โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

ไบโอเมตริกซ์ 'สแกนม่านตา' จัดระบบสุขภาพคนต่างด้าว เข้าถึงสิทธิ ลดเสี่ยงโรค

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 31 ส.ค. เวลา 19.33 น. • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว

ประเทศไทยมีแรงงานไม่เพียงพอ จำเป็นต้องรับแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในภาคส่วนต่างๆ โดยมีทั้งที่เข้ามาถูกต้องและลักลอบแบบผิดกฎหมาย คาดว่าทั่วประเทศมีราว 5.3 ล้านคน ซึ่งการดูแลสุขภาพประชากรต่างด้าว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางระบบแบบบูรณาการ ครอบคลุมบริการรักษาพยาบาล รวมถึง การเฝ้าระวัง ควบคุมและป้องกันโรคติดต่ออันตราย เพื่อลดความเสี่ยง สร้างความปลอดภัย และความมั่นคงด้านสุขภาพระยะยาว

ตรวจสุขภาพต่างด้าว ต้องได้มาตรฐาน

ก่อนการเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยกำหนดให้คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม หรือสัญชาติอื่น ๆ ที่ครม. กำหนด

ต้องตรวจโรคต้องห้ามตามกฎกระทรวงกับสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต ซึ่งก่อนหน้านี้ การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ดำเนินการได้เฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น แต่ด้วยปัญหาที่ภาครัฐไม่สามารถรองรับแรงงานต่างด้าวได้ทั้งหมด จึงมีการ "ปลดล็อก" ให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวได้ตั้งแต่ปี 2567

ทั้งนี้ สถานพยาบาลเอกชนที่จะได้รับอนุญาตให้ตรวจสุขภาพคนต่างด้าว จะต้องเป็น รพ.เอกชน ไม่อนุญาตคลินิก รวมถึง ต้องมีมาตรฐานเพิ่มเติมจากสถานพยาบาลเอกชนทั่วไป โดยต้องมีการยืนยันอัตลักษณ์บุคคลด้วยการสแกนม่านตา ตามแนวทางที่สภากาชาดไทยกำหนดไว้

และต้องมีห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ (แลป) ที่ได้มาตรฐาน ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และห้องเอ็กซเรย์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อตรวจโรคที่เป็นอันตรายและโรคติดต่อต่าง ๆ เช่น โรคเรื้อน โรคเท้าช้าง ซิฟิลิส และวัณโรค ซึ่งเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในกลุ่มแรงงานต่างด้าว

แต่ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ซึ่งอาจเป็นช่องโหว่ทำให้การเฝ้าระวังโรคหลุดเร้นไปได้ คือ“การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวโดยสถานพยาบาลเอกชนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” เนื่องจากสถานพยาบาลเอกชนที่จะให้บริการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวได้

จะต้องดำเนินการ 2ส่วนที่สำคัญ คือ ต้องขออนุญาตเพิ่มบริการตรวจสุขภาพคนต่างด้าวจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ในพื้นที่ก่อนแล้วไปขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โดยขณะนี้สธ.กำลังเดินหน้าเพื่อจัดการระบบนี้ให้ถูกต้อง

หากดำเนินการโดยยังไม่ได้รับอนุญาตให้บริการตรวจสุขภาพคนต่างด้าว ถือว่ามีความผิดตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 35 (4) ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สถานการณ์สุขภาพคนต่างด้าว

นอกจากขั้นตอนเฝ้าระวังโรคก่อนเข้ามาทำงานแล้ว เมื่อได้รับอนุญาตเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการจัดระบบการเข้าถึงบริการสุขภาพของแรงงานต่างด้าว ทั้งการรักษา เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค

ปัจจุบันประเทศไทยมีคนต่างด้าวประมาณ 5.3 ล้านคน ในจำนวนนี้ เป็นผู้ที่มีสิทธิรักษาพยาบาลในระบบประกันสังคมแล้ว 1.6 ล้านคน ,ประกันเอกชน 0.7 ล้านคน ,บัตรประกันสุขภาพต่างด้าวของสธ. 0.5 ล้านคน ,ได้รับอนุญาตทำงานและผู้ติดตามที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพใดราว 0.3-0.4 แสนคน

สิทธิสำหรับบุคคลที่มีปัญหาสถานะ(ท.99) 0.7 ล้านคน และไม่มีเอกสารอนุญาตราว 1.2 ล้านคน เท่ากับมีต่างด้าวที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพใดราว 1.5-1.6 ล้านคน โดยแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม สธ.จะเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุข

สถานการณ์ภาวะสุขภาพและโรคที่ต้องเฝ้าระวังในประชากรต่างด้าวในประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2566 – 2567 แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาระบบนี้ โดยเฉลี่ยในแต่ละสัปดาห์ มีคนต่างด้าวเข้ารับบริการในหน่วยบริการสังกัดสธ.ประมาณ 40,000 - 60,000 รายครั้งต่อปี ส่วนข้อมูล ณ วันที่ 18 ต.ค.2567 ผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจำแนกตามกลุ่มโรคพบ

  • โรคไม่ติดต่อ มีผู้ป่วยสูงที่สุดถึง 544,304 ราย เสียชีวิต 4,907 ราย
  • กลุ่มโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ 59,545 ราย เสียชีวิต 355 ราย
  • โรคระบบทางเดินหายใจ 43,871 ราย เสียชีวิต 447 ราย
  • ปัญหาสุขภาพจิต 17,138 ราย เสียชีวิต 235 ราย
  • วัณโรคและเอดส์ 11,444 ราย เสียชีวิต 38 ราย
  • โรคติดต่อนำโดยแมลง 7,675 ราย เสียชีวิต 6 ราย
  • และโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน 1,665 ราย เสียชีวิต 26 ราย

สัญชาติที่พบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ เมียนมา ซึ่งมีจำนวนสูงที่สุดตามมาด้วยกัมพูชา, ลาว, จีน, เยอรมัน, อเมริกัน, รัสเซีย, บริติช, อินเดีย, และฟิลิปปินส์. สำหรับ 10 จังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 119,356 ราย , ชลบุรี 117,081 ราย, สุราษฎร์ธานี 92,931 ราย, เชียงใหม่ 88,400 ราย, จันทบุรี 82,969 ราย, ตาก 51,825 ราย, กาญจนบุรี 46,090 ราย, สมุทรสาคร 33,693 ราย, นนทบุรี 30,988 ราย, และตราด 30,836 ราย

สแกนม่านตา ยืนยันตัวตน

ด้วยเหตุนี้ สธ.จึงต้องจัดระบบหลักประกันสุขภาพแบบบูรณาการทั้งระบบ หรือ Unified Migrant Health Coverage (UMHC) หัวใจสำคัญของระบบใหม่นี้ คือ การนำ "ระบบข้อมูลชีวภาพ หรือไบโอเมตริกซ์(Biometric)" มาใช้ เพื่อการยืนยันตัวตนสำหรับการเข้าสู่ระบบการดูแลรักษา จะช่วยให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลของผู้ป่วยต่างด้าวเข้ากับระบบเฝ้าระวังโรค และบริการการแพทย์และสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในบรรดาเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ที่หลากหลาย มีการเสนอให้ใช้ “ระบบสแกนม่านตา(Iris Biometric)” เป็นเครื่องมือยืนยันตัวตนหลัก เนื่องด้วยมีความแม่นยำสูงมาก ปลอดภัย และใช้งานได้ เมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยี Biometric อื่นๆ เช่น ลายนิ้วมือที่มี ความแม่นยำปานกลางและอาจล้มเหลวเมื่อผิวหนังเสียหาย หรือการสแกนใบหน้า ที่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยแสง มุม เพศ และเชื้อชาติ เป็นต้น

“การสแกนม่านตาจึงโดดเด่นตรงที่ การใช้ ลวดลายเฉพาะของม่านตา ที่มีความซับซ้อนสูงมาก ซึ่งไม่ซ้ำกันแม้แต่ในฝาแฝด และม่านตาจะพัฒนาขึ้นเองตั้งแต่ในครรภ์ ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต มีความเป็นเอกลักษณ์สูงมาก โอกาสซ้ำกันน้อยกว่า 1 ในพันล้าน”

นำร่อง 10 จังหวัด

ในการขับเคลื่อนนโยบายนี้อย่างมีประสิทธิภาพ การประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติครั้งล่าสุดเมื่อเดือนส.ค.2568 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคในกลุ่มคนต่างด้าวประชากรแฝง โดยส่งเสริมการใช้ข้อมูลชีวภาพ (Biometric) เพื่อยืนยันตัวตน ซึ่งแผนปฏิบัติการฯอยู่ระหว่างพิจารณากลั่นกรองของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ทั้งนี้ ระยะที่ 1 (1-6 เดือน) เป็นการเตรียมพร้อมเชิงระบบและนำร่อง โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ จัดทำแนวทางความร่วมมือ (MOU) เร่งพัฒนาระบบ Health ID ที่เชื่อมโยง Biometric (TRCBAS) ของสภากาชาดไทย และจัดการทรัพยากร ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ โดยใช้สมุทรสาครโมเดล ในพื้นที่นำร่อง 10 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สระบุรี นครนายก ชลบุรี สมุทรปราการ จันทบุรี สระแก้ว ระยอง ตราด รวมถึงจังหวัดอื่นที่มีความพร้อม

“สมุทรสาครโมเดล”

การระบุตัวบุคคลเป็นอุปสรรคสำคัญในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากการค้นหาผู้ติดเชื้อที่มีชื่อซ้ำกันจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถระบุหรือยืนยันบุคคลได้อย่างแม่นยำ การยืนยันผลการตรวจ การแจ้งผล และการคัดแยกระดับความรุนแรงของการเจ็บป่วยก็เป็นไปอย่างลำบาก และการดำเนินงานเชิงรุกยังมักไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร

จ.สมุทรสาคร ได้มีการเฝ้าระวังและบริหารจัดการโรค และภัยสุขภาพอื่น ๆ ด้วยการนำระบบข้อมูลชีวภาพ (Biometric) มาใช้ยืนยันตัวตนผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานต่างด้าว เพื่อแก้ปัญหา เป้าหมายคือการสร้างระบบข้อมูลเพื่อการสาธารณสุขและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เพื่อให้สามารถยืนยันตัวตนของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย

การทดลองระบบเริ่มต้นที่ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาคร และที่โรงพยาบาลนครท่าฉลอม จ.สมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นมา ระบบได้ถูกนำมาปฏิบัติจริง โดยมีการมอบเครื่องสแกนม่านตา และฝึกอบรมการใช้งานให้กับกลุ่มแรงงานต่างด้าว เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ประชากรต่างด้าวและประชากรแฝง (ที่มิได้ถือสัญชาติไทย) ได้รับข้อมูลผ่านอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าวและช่องทางการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ

ปัจจุบัน โรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทุกแห่งในจังหวัดสมุทรสาคร สังกัดกระทรวงสาธารณสุข มีเครื่อง Iris scan ครบ 100% แล้ว ระบบนี้ช่วยให้สามารถระบุอัตลักษณ์บุคคลของแรงงานต่างด้าวได้อย่างแม่นยำ ป้องกันการสวมสิทธิและการสวมตัวตนจากบุคคลอื่น และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลการรักษาพยาบาล

ที่สำคัญช่วยให้กลุ่มแรงงานต่างด้าว สามารถเข้าถึงสิทธิและประกันสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพของสธ. ประกันสังคม หรือประกันเอกชน รวมถึงระบบรักษาพยาบาล ระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ และระบบส่งเสริม คัดกรองสุขภาพ นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับระบบพิสูจน์อัตลักษณ์เพื่อยืนยันตัวตนคนต่างด้าวที่เข้ามารับบริการตรวจสุขภาพของสภากาชาดไทย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...