"วุฒิสภา" ถกงบฯ69 "พิชัย" แจง 4 กรอบสำคัญ มุ่งเน้นนโยบายรัฐบาล-แก้ปัญหาเร่งด่วน
วันที่ 1 ก.ย.2568 เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2569 จำนวนเงิน 3.78 ล้านล้านบาท
โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.การคลัง รายงานต่อที่ประชุมว่า การจัดทำงบประมาณพ.ศ.2569 มีหลักการและแนวทางที่สำคัญ ดังนี้ 1.ดำเนินการตามนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลทั้งนโยบายเร่งด่วน นโยบายระยะกลาง และนโยบายระยะยาวให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ
รวมทั้งน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางในการจัดสรรงบประมาณโดยพิจารณาตามความจำเป็นและภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ แผนพัฒนาตามความต้องการในพื้นที่ของประชาชนและเพิ่มความร่วมมือระหว่างราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนคำนึงถึงสถานะทางการคลังเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งให้ความสำคัญกับหน่วยรับงบประมาณภายใต้หลักธรรมาภิบาล สุจริต โปร่งใสและเป็นธรรมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและโปร่งใสต่อประเทศชาติและประชาชน
นายพิชัย กล่าวต่อว่า 2.จัดทำงบประมาณที่สนับสนุนการพัฒนาประเทศโดยมุ่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วน พร้อมสร้างความเสมอภาคและโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมต่อภาคการผลิต และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพื่อส่งเสริมการวางรากฐานสู่การพัฒนาประเทศในอนาคตพร้อมทั้งวางยุทธศาสตร์ให้ประเทศ เป็นศูนย์กลางการผลิต ภาคการเกษตร และอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อขยายโอกาสการดูแลคุณภาพชีวิตและความมั่นคงเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีสวัสดิการที่เหมาะสม รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการภาครัฐโดยการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นายพิชัย กล่าวอีกว่า 3.เพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำงบประมาณโดยพิจารณาลำดับความสำคัญตามความจำเป็น และเร่งด่วนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาทบทวนเพื่อชะลอปรับลดหรือยกเลิกการดำเนินโครงการที่หมดความจำเป็นหรือมีความสำคัญในระดับต่ำ เช่น โครงการที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรมสัมมนา การใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราว ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า ประหยัด มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล รวมถึงศักยภาพในการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในปีที่ผ่านมา
ตลอดจนการจัดทำงบประมาณให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงินทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ โดยให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณานำเงินนอกงบประมาณ เช่น เงินรายได้ เงินสะสมคงเหลือมาดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ เป็นอันดับแรกและพิจารณาเงินงบประมาณอื่นมาดำเนินโครงการภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้หรือความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนเพื่อลดภาระงบประมาณของประเทศ
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า 4.ดำเนินให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2560 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐพ.ศ. 2561 พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 รวมถึงกฎหมายมติและระเบียบของคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณ พ.ศ2569 ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณ พ.ศ.2569 พิจารณาปรับลดเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณโดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับความพร้อมและศักยภาพของหน่วยงานความซับซ้อนในการดำเนินงานและผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
ภารกิจที่สำคัญที่สนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ การรองรับมาตรการกีดกันทางการค้า การแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชนและประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ รวมถึงสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตและมีความเข้มแข็งเพื่อรองรับทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศอย่างมีเสถียรภาพ ตลอดจนความเหมาะสมและจำเป็นเพื่อให้เพียงพอต่อการปฎิบัติหน้าที่ของหน่วยรับงบประมาณ
“ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณสมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติทุกท่านที่จะพิจารณา ร่างพ.ร.บ.งบประมาณ พ.ศ.2569 สำหรับข้อคิดเห็นคำแนะนำข้อเสนอรวมถึงความห่วงใยที่สมาชิกได้เสนอแนะไว้ตลอดระยะเวลาที่จะมีการประชุม รัฐบาลขอรับไว้ด้วยความขอบคุณและจะนำไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืนต่อไป” นายพิชัย กล่าว
จากนั้นเวลา 10.10 น. นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล สว. ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วุฒิสภา รายงานสรุปผลการพิจารณาศึกษา ว่า รัฐบาลได้เสนอวงเงินงบประมาณรายจ่ายประมาณ 3,780,600 ล้านบาท จำแนกเป็น 1.รายจ่ายประจำ 2,652,301 ล้านบาท 2. รายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลัง 123,541 ล้านบาท 3. รายจ่ายลงทุน 864,077 ล้านบาท และ 4. รายจ่ายชำระต้นเงินกู้ 151,200 ล้านบาท สำหรับรายรับรัฐบาลคาดการณ์ว่าจะจัดเก็บรายได้ประมาณ 3.49 ล้านล้านบาท และเมื่อหักภาระต่างๆ เช่น การคืนภาษีของกรมสรรพากร การจัดสรรภาษี VAT ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อื่นๆ จะคงเหลือรายได้สุทธิ 2.92 ล้านล้านบาท รัฐบาลจึงตั้งงบประมาณแบบขาดดุลโดยต้องกู้เงินมาชดเชยในส่วนที่ขาดจำนวน 860,000 ล้านบาท ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าปีงบประมาณ 69 การตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พื้นที่งบประมาณถูกจำกัดลง และต้องขยายเพดานวงเงินอย่างสูงเพิ่มเติม ทำให้ต้องกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลสูงขึ้น รวมถึงมีหนี้สาธารณะสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 ม.ค. 68 อยู่ที่ 11.95 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 64.1 ของ GDP ซึ่งตัวเลข GDP อยู่ที่ 18.63 ล้านล้านบาท ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงควรคำนึงถึงการจัดเก็บรายได้เพื่อลดการกู้ชดเชยขาดดุล และพยายามตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกับความต้องการเพื่อลดการใช้จ่ายจากเงินคงคลัง
นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า สภาผู้แทนราษฎรปรับลดทั้งสิ้น 8,920.78 ล้านบาท ในส่วนที่ปรับลดสูงสุดคือกระทรวงมหาดไทย จำนวน 2,148 ล้านบาท และเมื่อสภาผู้แทนราษฎรปรับลดงบประมาณแล้ว จะนำกลับไปเพิ่มให้กับหน่วยรับงบประมาณต่างๆตามยอดที่ปรับลด 8,920.78 ล้านบาท ตามข้อเสนอสองส่วนคือคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอ เพื่อเพิ่มให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานและการแปรญัตติขอเพิ่มโดยรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ และองค์กรอัยการ ซึ่งส่วนที่ปรับเพิ่มสูงสุดตามลำดับได้แก่ 1.รัฐวิสาหกิจ ได้รับเพิ่ม 4,914 ล้านบาท โดยสมทบเป็นค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างตามสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม 2. กระทรวงการคลัง ได้รับเพิ่ม 1,568 ล้านบาท โดยสมทบเป็นค่าใช้จ่ายการเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ 3. กระทรวงแรงงาน ได้รับเพิ่ม 1,000 ล้านบาท โดยสมทบกองทุนประกันสังคม และ 4. งบกลาง ได้รับเพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาท โดยสมทบในรายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
นพ.ประพนธ์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมการพิจารณาศึกษาสรุปตามภารกิจคือ 1. กลุ่มภารกิจด้านเศรษฐกิจ วงเงินงบประมาณ 965,754 ล้านบาท มีข้อสังเกตคือเศรษฐกิจประเทศไทยในปัจจุบันการชะลอตัว อัตราการเติบโตต่อ GDP ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากการระบาดของโควิด-19 รวมถึงกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา และปัญหาสำคัญคือความไม่แน่นอนทางการเมือง ภาคธุรกิจขาดความเชื่อมั่น และชะลอการลงทุน โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 9 กระทรวงควรนำงบประมาณที่ได้ไปดำเนินการให้เกิดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ การส่งเสริมการออม การจัดหารายได้โดยนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้ามาอยู่ในระบบภาษี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ รวมถึงขับเคลื่อนโครงการแลนด์บริดจ์ให้ชัดเจน และการเร่งหาตลาดจับคู่ทางการค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น เป็นต้น 2. กลุ่มภารกิจด้านสังคม งบประมาณ 1,029,600 ล้านบาท ข้อสังเกต เช่น กลุ่มด้านสังคมเป็นกลุ่มที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณมากที่สุด แต่ก็ยังพบปัญหาซึ่งจะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี โดยเฉพาะช่องว่างรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน ซึ่งยังคงขยายตัว โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปดำเนินการให้ประชาชนได้รับประโยชน์ทางสังคมด้านสังคมเพิ่มยิ่งขึ้น
นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า 3. กลุ่มภารกิจด้านความมั่นคงงบประมาณ 680,374 ล้านบาท มีข้อสังเกต เช่น ปัญหาด้านความมั่นคงยังมีลักษณะที่หลากหลาย ซับซ้อน ทั้งความมั่นคงชายแดน ความตึงเครียดในบางพื้นที่ชายแดนจากสถานการณ์ประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการระบาดของยาเสพติด กระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ การพนันออนไลน์ การฟอกเงิน โดยมีข้อเสนอแนะเช่น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมาย การอำนวยความยุติธรรม การบริการประชาชน พร้อมทั้งตรวจสอบ ป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ รวมถึงกองทัพเป็นเสาหลักให้ประชาชน มีศักยภาพ และความพร้อมทั้งกำลังพลและยุทโธปรณ์ 4. ด้านการแก้ไขภัยพิบัติและทรัพยากรธรรมชาติ มีข้อสังเกต เช่น ปัญหาภัยพิบัติและทรัพยากรธรรมชาติส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม การดำรงชีวิต สุขภาพของประชาชน มีข้อเสนอแนะ อาทิ ในงานที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการวางแผน และงบประมาณร่วมกัน และรัฐบาลควรมีส่วนเข้าไปช่วยเหลือหาแนวทางเพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนให้เกิดความยั่งยืน รวมถึงควรจัดสรรงบประมาณให้กับอปท. ที่ใช้จ่ายแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในปีงบประมาณต่อไปให้เพิ่มสูงขึ้น เพื่อชดเชยการขาดโอกาสที่ต้องนำเงินงบประมาณไปพัฒนาพื้นที่ และ 5. กลุ่มภารกิจด้านบริหารและอื่นๆ โดยแบ่งออกเป็นด้านบริหาร 119,221 ล้านบาท แผนงานบูรณาการ 98,767 ล้านบาท และงบประมาณเชิงพื้นที่ จังหวัดและกลุ่มจังหวัด 26,525 ล้านบาท อปท. 202,613 ล้านบาท โดยมีข้อสังเกตว่าปัญหาการบริหารระดับพื้นที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น และความสามารถในการพัฒนาพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพโดยพบว่าหน่วยงานระดับพื้นที่มีอำนาจน้อยไม่สามารถตัดสินใจเอง รวมถึงการจัดสรรงบประมาณยังไม่ตอบโจทย์คนในพื้นที่
จากนั้นที่ประชุมเปิดให้สมาชิกอภิปรายเนื้อหาในร่างพ.ร.บ.งบประมาณ อย่างกว้างขวาง