รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย! เชียร์ทัพช้างศึก ป้องแชมป์คิงส์คัพ
รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย! เชียร์ทัพช้างศึก ป้องแชมป์คิงส์คัพ
ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” กำลังจะกลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้ง ซึ่งฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศชิงถ้วยพระราชทานของพระมหากษัตริย์ไทย โดยจัดขึ้นที่ประเทศไทย เริ่มจัดครั้งแรกในปี พ.ศ.2511 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และมีการจัดต่อเนื่องทุกปีจนถึงปัจจุบัน โดยในบางปีจะมีการรับเชิญทีมสโมสรมาร่วมแข่งด้วย ทีมที่ชนะสูงสุดคือ ฟุตบอลทีมชาติไทย (ทีมเจ้าภาพ) ซึ่งได้ไปถึง 16 สมัย
ปี 2568 ถือเป็นการจัดครั้งที่ 51 โดยมี จ.กาญจนบุรี รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพโดยใช้สนามกีฬากลางจังหวัดกาญจนบุรี (กลีบบัว) เป็นสังเวียนฟาดแข้ง มี 4 ทีมเข้าร่วมฟาดแข้ง ได้แก่ ทีมชาติไทย เจ้าของฉายา “ช้างศึก” ทีมอันดับ 102 ของโลก, ฟิจิ ทีมอันดับ 150 ของโลก, อิรัก ทีมอันดับ 58 ของโลก และ ฮ่องกง ทีมอันดับ 147 ของโลก
โดยโปรแกรมแข่งขัน ประกบคู่ออกมา ขุนพลแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา“ช้างศึก” จะดวลกับ ฟิจิ ในวันที่ 4 กันยายน คิกออฟเวลา 20.00 น. ขณะที่คู่แรก คิกออฟเวลา 16.00 น. อิรัก จะพบกับ ฮ่องกง
นัดชิงอันดับสาม และนัดชิงชนะเลิศ จะแข่งขันวันที่ 7 กันยายน 2568 เวลา 16.00 น. และ 20.00 น. ตามลำดับ ทั้งหมดจะถ่ายทอดสดทางช่อง 32, TrueVisions NOW และ BG Sports
ทีมชาติไทย เป็นแชมป์เก่าในศึกชิงถ้วยอันทรงเกียรติหนล่าสุด เมื่อปี 2024 ที่จังหวัดสงขลา และเป็นแชมป์สองสมัยซ้อน เมื่อปี 2016-2017 ที่แข่งขันที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน
ด้าน อิรัก หนึ่งในชาติที่เข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้ เคยคว้าแชมป์เมื่อปี 2023 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเอาชนะจุดโทษทัพช้างศึก ในนัดชิงชนะเลิศ
ทีมชาติไทยชุดนี้ภายใต้การนำของ มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือชาวญี่ปุ่น ประกาศโผรายชื่อออกมาถือว่าไม่ขี้เหร่แม้ว่าจะไม่มี“อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน แบ๊กซ้ายจอมเก๋า รวมถึง “เตอร์” วีระเทพ ป้อมพันธุ์ มิดฟิลด์เชิงสูง รวมถึง “ตังค์” สารัช อยู่เย็น ที่มีอาการบาดเจ็บร่วมทีมอยู่ โดยนักเตะ “ช้างศึก” ทั้ง 23 คนประกอบด้วย ผู้รักษาประตู ปฏิวัติ คำไหม (ทรู แบงค็อก) สรานนท์ อนุรินทร์ (บีจี ปทุม) กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล (ราชบุรี)
กองหลัง ศุภนันท์ บุรีรัตน์ (การท่าเรือ) สันติภาพ จันทร์หง่อม (ชลบุรี) ณัฐพงษ์ สายริยา (ชลบุรี) สุพรรณ ทองสงค์ (แบงค็อก) อภิสิทธิ์ โสรฎา (ราชบุรี) ทรงวุฒิ ใคร่ครวญ (เมืองทอง) ศฤงคาร พรหมสุภะ (สุโขทัย) นิโคลัส มิคเกลสัน (เอลแวร์สเบิร์ก)
กองกลาง “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ (บีจี ปทุม) เอกนิษฐ์ ปัญญา (บีจี ปทุม) เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ (บีจี ปทุม) พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล (บุรีรัมย์) พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี (การท่าเรือ) วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ (การท่าเรือ) เบนจามิน เจมส์ เดวิส (อุทัยธานี) ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ (ทรู แบงค็อก) สุภโชค สารชาติ (คอนซาโดเล่ ซัปโปโร)
กองหน้า ศุภชัย ใจเด็ด (บุรีรัมย์) ธีรศักดิ์ เผยพิมาย (การท่าเรือ) ปรเมศย์ อาจวิไล (จูบิโล อิวาตะ)
จะเห็นได้ว่าทีมชุดนี้ของ “ช้างศึก” จะไม่มีชื่อของ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าตัวเก๋า และ “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา กองหน้าอีกรายร่วมทีม แต่ยังคงมี “อาร์ม” ศุภชัย ใจเด็ด ดาวยิงจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ร่วมทีม
ว่ากันว่าอิชิอิ ต้องการลองแท็กติกผสมผสานนักเตะดาวรุ่ง พลังสุด กับนักเตะแกนหลัก ว่าจะผสมผสานกันลงตัวหรือไม่เพื่อเตรียมสำหรับศึกใหญ่อย่าง เอเชี่ยน คัพ รอบคัดเลือก ในปีหน้า
นัดรอบรองชนะเลิศ ที่ขุนพลแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จะเจอกับ ฟิจิ ว่ากันตามมาตรฐานและความได้เปรียบทั้งเรื่องสนาม และสภาพอากาศ รวมถึงอันดับโลกในฟีฟ่า แร้งกิ้ง ทีมชาติไทยดูดีกว่าพอสมควร อีกทั้งฟิจิ ชุดนี้ขาดผู้เล่น 3 ตัวหลัก เซตาเลกี้ ฮูเกส, อกูลา มาไตซูลา ที่ติดภารกิจการทำงานประจำ รวมถึง รอย คริสห์นา กัปตันทีมคนสำคัญกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ
จึงไม่น่าจะมีพิษสงต่อกรกับไทยได้ หากลูกทีมของ อิชิอิ ไม่ประมาท และผิดพลาดในเกมจนเยอะเกินไปก็น่าจะทำให้ “ช้างศึก” กรุยทางผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ตามแผน
อีกคู่ อิรัก บู๊กับ ฮ่องกง คู่นี้ต่างชั้น ต่างวรรณะกันอย่างชัดเจน มาตรฐานสู้กันไม่ได้ อิรัก จะฉลุยเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศแบบไม่ยากเย็น
นั่นทำให้รอบชิงชนะเลิศ จะเป็นการรีแมตช์นัดล้างแค้นปี 2023 ที่ จ.เชียงใหม่ ระหว่าง ไทย กับ อิรัก อีกครั้ง
มาตรฐานไทย ยังเป็นรองฟุตบอลตะวันออกกลาง เจอกับทีมตะวันออกกลาง แม้ว่าเราจะครองบอลสู้กันได้ แต่มาตรฐานการเล่น การจบสกอร์ และความแข็งแกร่ง นักเตะไทยมักจะถูกทีมตะวันออกกลางน็อกอยู่เสมอๆ แต่สำหรับการเล่นในบ้าน การที่ต้องสู้แบบถวายหัวของนักเตะไทย และความต้องการที่จะล้างตาจากทีมอิรักให้ได้ จึงเชื่อว่าเกมรอบชิงชนะเลิศจะสนุกสูสีกันสุดๆ เผลอๆ อาจต้องดวลกันถึงจุดโทษอีกรอบ
มาซาทาดะ อิชิอิ หมายมั้นปั้นมือไว้อย่างสูงว่า จะสามารถนำทีมป้องกันแชมป์คิงส์คัพไว้ได้หลังจากปีที่แล้วที่ จ.สงขลา เขานำทีมชาติไทยคว้าแชมป์หลังเอาชนะ ซีเรีย 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศ
ขณะที่ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ประกาศว่า ความพิเศษของการแข่งขันคิงส์คัพ ครั้งที่ 51 คือ จากที่ปกติไม่มีเงินรางวัล แต่เราเห็นความสำคัญของการแข่งขัน จึงได้มีการเพิ่มเงินรางวัลขึ้นมา ทีมแชมป์ 2 ล้านบาท รองแชมป์ 1 ล้านบาท รวมถึงจัดให้มีวีเออาร์ทุกนัด และใช้ผู้ตัดสินชาวต่างชาติทำหน้าที่
“เชื่อว่ากองเชียร์ชาวกาญจนบุรีจะเข้ามาให้กำลังใจกันแบบเต็มขอบสนามและเป็นกำลังใจให้กับทีมชาติไทยแสดงฝีเท้าออกมาอย่างเต็มที่ในทุกๆ นัด และหวังว่าทีมชาติไทยจะสามารถป้องกันแชมป์คิงส์คัพเอาไว้ได้อีกสมัยหนึ่ง” มาดามแป้งกล่าว
อีกหนึ่งความพิเศษของศึกคิงส์คัพ ครั้งที่ 51 แฟนบอลที่จะเดินทางไปที่กาญจนบุรี จะสามารถใช้เส้นทางมอร์เตอร์เวย์ M81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร จากปกติที่ใช้ได้เฉพาะช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แต่ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” จะเปิดให้บริการฟรีตลอดช่วงแข่งขัน วันที่ 1-10 กันยายน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแฟนบอลที่จะเดินทางมาที่สนาม
แฟนบอลไทยพันธุ์แท้ห้ามพลาดที่จะติดตามผลงานของขุนพลนักเตะ “ช้างศึก” ในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 51 ที่ จ.กาญจนบุรี
“ช้างศึก” สู้โว้ย…
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย! เชียร์ทัพช้างศึก ป้องแชมป์คิงส์คัพ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th