ไทยเมินใช้สื่อโซเชียลโต้กัมพูชา ย้ำแจงประชาคมโลกผ่านช่องทางทางการ
เมื่อวันที่ 3 ก.ค. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้ ว่า ปัจจุบันสถานการณ์ความตึงเครียดลดลงในระดับหนึ่ง ไม่มีการปะทะกัน แต่มีบ้างจากการคงกำลัง และอาวุธบริเวณชายแดน ทั้งนี้รัฐบาลไทยอยากเห็นการปรับลดกำลังในแนวต่างๆ ให้กลับไปอยู่ในช่วงที่ไทยและกัมพูชา มีความสัมพันธ์กันอย่างปกติในช่วงปี 2567 เนื่องจาก รัฐบาลไทยกังวลถึงความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่
นายมาริษ กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศนั้น มีบทบาททางการ การสื่อสารต่าง ๆ จะต้องใช้ช่องทางทางการ หรือช่องทางการทูตในการเจรจา หากไปติดตามจากช่องทางที่ไม่เป็นทางการ โอกาสที่จะมีความไม่เข้าใจกัน ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น จึงจะต้องพูดคุยในช่องทางทางการกับฝ่ายกัมพูชา พร้อมยอมรับว่า ปัจจุบันโซเชียลมีเดียมีบทบาทมาก และมีหลายมุมมองซึ่งอาจจะถูกต้องบ้าง หรือผิดบ้าง แต่กระทรวงการต่างประเทศมีความเข้าใจ และมอบหมายว่าใครจะออกมาตอบโต้ประเด็นใด หรือถ้าเป็นประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับการทูต ก็อาจจะต้องให้หน่วยงานอื่นเป็นผู้ดำเนินการ ตนขอย้ำว่าประเทศไทยและรัฐบาลไทยไม่ต้องการตอบโต้ฝ่ายใดผ่านโซเชียลมีเดีย เพราะไม่ใช่ช่องทางทางการ และจะชี้แจงผ่านช่องทางทางการเท่านั้น และขอให้ใช้วิจารณญาณด้วยว่า เมื่อมีการพูด หรือสื่อสารไปแล้ว จะเกิดผลกระทบอย่างไร ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบและจริยธรรมของแต่ละคน
ส่วนฝ่ายไทยสื่อสารกับเวทีโลกน้อย จนทำให้ไทยดูเป็นรองในหลาย ๆ เรื่องหรือไม่นั้น นายมาริษ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ทั้งตนและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้สื่อสารกับประชาคมโลก สังคมไทย และทุกฝ่ายในช่องทางการทูตมาอย่างต่อเนื่องกับนานาประเทศ ถึงจุดยืน ความประสงค์ และความถูกต้อง ตามที่ประเทศทั้งสอง มีพันธกรณีที่จะต้องมาแก้ไขปัญหาโดยการเจรจาสองฝ่าย จึงเรียกร้องให้กัมพูชาให้ความสำคัญกับการเจรจาในกรอบทวิภาคีโดยเร็วต่อไป แต่การใช้โซเชียลมีเดียเป็นสิทธิของแต่ละคน แต่ถ้าเกิดผลกระทบ ก็ควรรับผิดชอบในสิ่งที่จะเกิดขึ้น และต้องพิจารณาว่า จะต้องตอบโต้ในขั้นใด รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องรักษาช่องทางทางการ และเลือกประเด็นการตอบโต้ เพื่อไม่ให้ลำบากต่อการเจรจาในอนาคต
นายมาริษ ยังกล่าวถึงการเจรจาเส้นเขตแดนว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีใครต้องการให้ประเทศสูญเสียอธิปไตย จึงเป็นการยาก และต้องใช้เวลาในการถกเถียง พร้อมตอกย้ำและยืนยันว่า ไทยจะปกป้องอธิปไตยแน่นอน จึงขอให้สังคมมั่นใจ และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น จะต้องหลีกเลี่ยงการเกิดความสูญเสีย และทำให้ประชาชนบริเวณชายแดนได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสันติ และสงบสุข หลีกเลี่ยงผลกระทบจากความตึงเครียด
ส่วนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชายังพยายามนำข้อพิพาทพื้นที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกนั้น นายมาริษ กล่าวว่า ประเทศไทยและหลายๆประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศมหาอำนาจไม่ได้รับเขตอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 ดังนั้น ศาลโลกจึงไม่มีอำนาจพิจารณาในเรื่องนี้และด้านอื่น ๆ อย่างแน่นอน ตนจึงไม่ได้กังวลใดๆ แต่กระทรวงการต่างประเทศได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาติดตามเพื่อเตรียมความพร้อม พร้อมย้ำว่า การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 14-15 มิ.ย. ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จในการวางกรอบการทำงานด้านเทคนิคของเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ฝ่าย ในการจัดทำหลักเขตแดนร่วมกันต่อไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลไกทวิภาคียังสามารถทำงานต่อไปได้ และสร้างความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเขตแดน
นายมาริษ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่ผู้นำกัมพูชากล่าวในลักษณะเรียกร้อง และอยากจะเห็นการเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลไทยนั้น การแสดงความเห็นของผู้นำกัมพูชาในเรื่องนี้ ที่กระทำผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ มีเนื้อหาแทรกแซงกิจการภายในของไทย ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎบัตรอาเซียน กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ตนจึงสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศมุ่งสื่อสารกับประชาคมโลกในช่องทางที่เหมาะสม ถึงการกระทำดังกล่าวที่ไม่ถูกต้อง และไม่ปรารถนาให้ตอบโต้กันในสื่อสังคมออนไลน์ เพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาระหว่างกัน
ด้าน นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงถึงกรณีที่มีผู้วิจารณ์เอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ปี 2543 ทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจา เสี่ยงเสียดินแดนและอธิปไตย ว่าเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ปี 2543 ยังเป็นกลไกทวิภาคีที่ยังได้ใช้ และเป็นพันธกรณีต่อทั้ง 2 ฝ่าย ที่ต้องดำเนินการ เนื่องจาก เป็นสนธิสัญญาอย่างหนึ่ง ที่ทำขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งคู่สัญญาจะต้องปฏิบัติตามที่สัญญาไว้ และย้ำว่า ในเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ปี 2543 กำหนดให้มีคณะกรรมาธิการเจบีซีไทย-กัมพูชา ซึ่งเจบีซีสามารถกำหนดประเด็นเร่งด่วนในการเจรจาได้ และหากฝ่ายกัมพูชาเห็นว่า 4 พื้นที่เป็นข้อกังวล ก็สามารถนำมาเร่งกระบวนการปักปันเขตแดนได้
นายเบญจมินทร์ กล่าวอีกว่า ส่วนผลการประชุมเจบีซี เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยก็สามารถดำเนินการได้สำเร็จในระดับหนึ่ง ทำให้ขณะนี้ทราบว่าหลักเขตแดน 73 หลัก ที่ได้ดำเนินการมากว่า 100 ปี อยู่ในจุดใดบ้าง และมีจุดใดที่เห็นตรงกัน หรือขัดแย้งกัน อีกทั้งตกลงที่จะใช้โดรนในการจัดทำแผนที่ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการปักปันเขตแดน และทั้ง 2 ฝ่ายจะงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่จะไปเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศ รวมถึงการระงับข้อพิพาท-ความตึงเครียดต่าง ๆ ก็จะต้องดำเนินการอย่างสันติ ผ่านการเจรจาทวิภาคี 2 ฝ่าย
“เอ็มโอยูปี 2543 เป็นการตีกรอบการเจรจา และการดำเนินการเพื่อให้เกิดแผนที่ที่มีความชัดเจน ไม่ได้ทำให้เสียดินแดนใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนแผนที่ที่ได้ จะต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขณะที่ ครม. จะต้องเสนอต่อรัฐสภาพิจารณา” นายเบญจมินทร์ กล่าว
ส่วนกระแสข่าวก่อนหน้านี้ที่ระบุฝ่ายไทยยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 ของกัมพูชานั้น นายเบญจมินทร์ กล่าวว่า การประชุมเจบีซีไม่มีประเด็นดังกล่าวในการหารือ ซึ่งฝ่ายไทยก็แปลกใจ เหตุใดจึงมีการสื่อสารในลักษณะนี้ออกมา แต่ก็มองเป็นเทคนิคของฝ่ายหนึ่ง ในการส่งสัญญาณผิด ๆ ต่อมวลชนภายในของอีกฝ่าย พร้อมย้ำว่า เป้าหมายสุดท้ายคือการเกิดแผนที่ร่วมของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งจากการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย และประธานาธิบดีฝรั่งเศส ทางฝรั่งเศสก็พร้อมสนับสนุนเอกสารเพิ่มเติม