ก.ล.ต.–ตลท. เปิดตัว Corporate Value Up–JUMP+ ยกระดับบจ.ไทย หวังปีแรกเข้าร่วม 100 บริษัท ชูแรงจูงใจ ESG–โปรโมตเข้มนักลงทุนสถาบัน
สำนักงาน ก.ล.ต. – ตลาดหลักทรัพย์ฯ ผนึกกำลังเปิดตัวโครงการ Corporate Value Up และ JUMP+ ผลักดันบริษัทจดทะเบียน ยกระดับธรรมาภิบาล-แผนเติบโตระยะยาว ชูสิทธิประโยชน์ทั้งเงินทุนและโรดโชว์ ตั้งเป้าปีแรกดึง 100 บริษัทเข้าร่วม คาดเริ่มเห็นแผนจริงไตรมาส 4/68 ก่อนทยอยรายงานผลปี 69
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ตลาดทุนในเอเชียกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านผลตอบแทนและความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุน หลายประเทศจึงเริ่มขับเคลื่อนนโยบายการสร้างมูลค่าของกิจการในระยะยาว หรือ Value Up เพื่อยกระดับธรรมาภิบาลสร้างคุณค่าในระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น
ขณะที่ประเทศไทยกำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ หากต้องการให้บริษัทจดทะเบียนเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านสู่แนวทาง Value Up คือโอกาสสำคัญ ก.ล.ต. จึงผลักดันโครงการ “Corporate Value Up” ให้เป็นกลไกหลักในการยกระดับธรรมาภิบาลของภาคธุรกิจไทย ทำหน้าที่เป็น ‘กรอบกลยุทธ์’ และ ‘กลไกส่งสัญญาณตลาด’ โดยเชื่อมโยงกับการออกแบบแรงจูงใจเชิงนโยบายผ่านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และโครงการ JUMP+
โดยโครงการ Corporate Value Up ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ธรรมาภิบาลระดับดีเลิศ (2) แผน Value Up ที่ชัดเจนทั้งด้านแผนกลยุทธ์มุ่งเน้นเพิ่มมูลค่ากิจการและด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีกรอบระยะเวลา 2 ปี และ (3) การสื่อสารกับนักลงทุนอย่างโปร่งใส หากบริษัทจดทะเบียนมีองค์ประกอบครบถ้วนจะมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์เป็นหลักทรัพย์ที่ Thai ESG หรือ Thai ESGX สามารถลงทุนได้ ซึ่งปัจจุบันมี 2 บริษัทที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติดังกล่าวแล้ว
ด้านนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ JUMP+ เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งใจผลักดัน เพื่อสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนพัฒนาการดำเนินงานและการขับเคลื่อนความยั่งยืน เพื่อประโยชน์แก่บริษัทจดทะเบียน ผู้ถือหุ้น และตลาดทุนโดยรวม
โดยบริษัทที่ร่วมโครงการจะมีการจัดทำแผนการเติบโต 3 ปี (69-71) ประกอบด้วยแผนด้านธุรกิจ แผนด้านธรรมาภิบาล และแผนจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยเปิดเผยความคืบหน้า และสื่อสารกับผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ร่วมโครงการ ผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดรับสมัครบริษัทจดทะเบียนที่สนใจร่วมโครงการในวันที่ 26 มิ.ย.-30 ธ.ค. 68 ซึ่งบริษัทจดทะเบียนที่เป็นเป้าหมายของโครงการนี้ คือ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่อยากเห็นการเติบโต รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ โดยเชื่อว่าในปีแรกจะมีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมโครงการราว 50-100 บริษัท
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตรจะสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ เงินทุนสนับสนุนเพื่อจัดทำแผนงานและการดำเนินกาตามแผน JUMP+ ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงสูงสุดไม่เกิน 5.5 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาโครงการ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)
รวมถึงการขยาย visibility ทั้งในและต่างประเทศผ่านกิจกรรม roadshow กิจกรรม Opportunity Day การจัดทำบทวิเคราะห์ และโปรโมตผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตร นอกจากนี้ หากบริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้ตามเงื่อนไขที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดจะได้รับเงินรางวัลสูงสุด 5 แสนบาท
การที่บริษัทจดทะเบียนดำเนินการตามแผนดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่ง กระตุ้นการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มความน่าสนใจให้ตลาดทุนไทยด้วย ทั้งนี้ บริษัทที่ร่วม JUMP+ จะได้เข้าสู่โครงการ “Corporate Value Up” หากมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ของ สำนักงาน ก.ล.ต.
“โครงการ Jump+ จะช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าถึงข้อมูลแผนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้งทราบถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง อาทิ Opportunity Day ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพในการเติบโต นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนในการจัดกิจกรรม Jump+ Corporate Day เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนมาพบกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการ Jump+ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุน ได้รับข้อมูลเพิ่มเติม ประกอบการตัดสินใจลงทุนอีกด้วย” นายอัสสเดชกล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มเห็นแผนงาน Jump+ ของบริษัทจดทะเบียน ในช่วงไตรมาส 4/68 เป็นต้นไป และจะสามารถติดตามการดำเนินงานตามแผนงานของบริษัท ได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/69
ในส่วนของสิทธิประโยชน์ทางภาษี นายอัสสเดชกล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลัง ซึ่งยังไม่ได้รับการพิจารณาอย่างเป็นทางการ แต่หากได้รับการสนับสนุนส่วนนี้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังมีเรื่องที่ต้องพิจารณาเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีหลายเรื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ