โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

มหาอำนาจโลกหวังถอยห่าง "จีน" ในวันที่ขาดจีนไม่ได้ ?

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา
การแยกตัว (Decoupling) ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็นเรื่องยาก เพราะทั้งสองฝ่ายพึ่งพากันทางเศรษฐกิจ แม้จะมีความขัดแย้งระยะยาว ไทยจึงต้องรักษาสมดุลความสัมพันธ์มหาอำนาจอย่างรอบคอบ พร้อมมองหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง หากขยับช้าอาจเสียโอกาสสำคัญในเวทีโลก

คุณจินตนาการโลกที่ไม่มีจีนในเศรษฐกิจโลกได้ไหม มันจะเกิดอะไรขึ้น ?

สมาร์ทโฟนที่เราถืออยู่ อาจจะแพงขึ้นเป็นสองเท่า ส่วนชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ อุปกรณ์แพทย์ หรือเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ ก็อาจขาดตลาดไปเลยก็ได้ เพราะมือถือที่คุณถืออยู่ รถที่คุณขับ แบตเตอรี่ใน power bank
80% ของสิ่งเหล่านี้…เกี่ยวข้องกับ ‘จีน’ โดยตรง

แต่จีนที่เป็นเหมือนโรงงานสินค้าทั่วโลก กำลังถูกหลายประเทศลดการพึ่งพา และอาจเข้าสู่ยุค Decoupling หรือแยกออกจากจีน แต่มันจะเกิดขึ้นได้จริงๆ ไหม หรือเป็นเพียงแค่นโยบายต่างประเทศ ?

Made in China 2025 นโยบายที่พาจีนเป็นยิ่งกว่าโรงงานโลกในวันนี้

ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โลกพึ่งพาจีนมากขึ้นทุกด้าน จีนคือผู้ผลิตอันดับ 1 ของโลก
เป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก และเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุดของกว่า 120 ประเทศ ทุกอย่างล้วน Made in China และการที่จีนคือโรงงานของโลก นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เรารู้กันอยู่แล้วว่า จีนเป็นฐานการผลิตของแบรนด์ และบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก จากค่าแรง ต้นทุนการผลิตที่ถูก และคนงานที่มีมหาศาล

แต่ก่อนหน้านี้ คนไทยมักดูแคลนว่าของ Made in China ของถูก คุณภาพไม่ห่วย ใช้ไม่นานก็พัง แถมยังมีของปลอมเต็มไปหมด แต่จีนเปลี่ยนผ่านจากจุดที่เรามองว่าเป็นสินค้าเกรดต่ำ มาเป็นโรงงานของโลกได้ด้วยนโยบาย ‘Made in China 2025’

นโยบายนี้ เกิดขึ้นจากการประกาศของอดีตนายกฯ ของจีน ‘หลี่ เค่อเฉียง’ ที่ประกาศไว้ในปี 2015 ว่าต้องการเปลี่ยนจีนจากแค่ศูนย์กลางการผลิตต้นทุนต่ำ เป็นผู้นำระดับโลกอุตสาหกรรมไฮเทค ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายใน 1 ทศวรรษ

นโยบายอันแน่วแน่ บวกกับรากฐานเดิม ทำให้จีนยังมีระบบนิเวศทางธุรกิจท่ีแข็งแรง อย่างในการผลิตสินค้า 1 ชิ้น จีนสามารถทำครบจบ ตั้งแต่ต้น จนสมบูรณ์ได้ เพราะภาคอุตสาหกรรมไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว

ยกตัวอย่างเช่น หากเราจะผลิตสมาร์ทโฟน 1 เครื่อง จีนมีครบทุกอย่างที่ต้องใช้ ตั้งแต่จอแสดงผล แบตเตอรี่ ชิป ตัวเครื่อง กล่องแพ็กเกจ ไปจนถึงพนักงาน โลจิสติกส์ และพาร์ตเนอร์อีกเป็นร้อยเจ้า ที่อยู่ ‘ในเมืองเดียวกัน’ หรือใกล้แค่ไม่กี่ชั่วโมง และสามารถประกอบทุกอย่างได้โดยใช้เวลาไม่กี่วัน

Apple เองก็ใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่ระบบนิเวศนี้ของจีน รักษาต้นทุนที่ต่ำ สร้างอัตรากำไรที่สูงให้กับธุรกิจ จนแทบเป็นไปไม่ได้ในทางเศรษฐกิจเลย ที่จะนำเข้าวัตถุดิบ แล้วไปผลิต iPhone Made in America แบบครบวงจร

ไม่เพียงแค่นั้น จีนยังมีข้อกำหนดด้านกฎระเบียบที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ หรืออาจจะเรียกได้ว่าไม่เข้มงวดเท่าประเทศอื่น ๆ แม้ว่าจะปฏิรูปการปกป้องสิทธิคนงาน และค่าตอบแทนที่เป็นธรรมมากขึ้นก็จริง แต่ก็ยังมีช่องโหว่ให้หลีกเลี่ยงกฎบางอย่าง จนทำให้ธุรกิจลดต้นทุนได้

ไปถึงนโยบายคืนภาษีส่งออก ที่มีมาตั้งแต่ 1985 ยกเลิกการเก็บภาษีซ้ำซ้อนสำหรับภาษีส่งออก และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับยกเว้นภาษีนําเข้า ทำให้ยังคงรักษาต้นทุนที่ต่ำได้

ซึ่งหากมาดูตัวเลขเกี่ยวกับการผลิตของจีนจาก Forbes ที่สะท้อนว่าทำไมจีนถึงยังเป็นโรงงานของโลก ก็จะเห็นได้ว่า

  • จีน มีประชากร 1.4 พันล้านคน ทำให้มีกลุ่มแรงงานขนาดใหญ่ในการผลิตจํานวนมาก รองรับความต้องการของอุตสาหกรรม แม้กระทั้งพร้อมกับความต้องการที่อยู่ๆ อาจเพิ่มขึ้นกระทันหันได้

  • แรงงานนั้น ยังไม่ใช่แค่แรงงานที่ไรัทักษะอย่างเดียว แต่ยังมีทักษะด้วย โดยจีนมีผู้ที่จบการศึกษาสาขา STEM ประมาณ 4.7 ล้านคนต่อปี (รองลงมาคือ อินเดีย และสหรัฐอเมริกาอยู่อันดับสาม)

  • มีการลงทุนด้านการผลิต 35 ล้านล้านดอลลาร์

  • มีอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เครื่องจักร เหล็กกล้า และอื่นๆ

  • การผลิตคิดเป็นประมาณ 27% ของ GDP ของจีน

  • และหากดูตัวเลขเศรษฐกิจการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2023 ซึ่งจีนอยู่ที่ 35% มากที่สุดในโลก และยังมากกว่าขนาดของ 6 ประเทศรองๆ ลงมารวมกัน คงทำให้เห็นภาพว่า จีนยังคงเป็นโรงงานของโลก และทุกประเทศพึ่งพาจีนแค่ไหน

ในเมื่อจีนเป็นโรงงานใหญ่ ที่ทุกประเทศต้องพึ่งพาขนาดนี้ ทำไมมหาอำนาจกลับพยายาม ‘Decoupling’ หรือเลิกพึ่งพาจีนกัน ?

เพราะการพึ่งพาจีนมากไป จนทำให้อยากถอยห่างออกมา ?

Rise of China หรือการที่จีนจะผงาดขึ้นมา ต่างก็เป็นคำฮิตในการพูดถึงจีนมาตั้งแต่ช่วงเข้าศตวรรษที่ 20 ซึ่งเมื่อเริ่มมีคำนี้ เราก็เริ่มเห็นมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่มองจีนเปลี่ยนไป จากคู่ค้า เป็น ‘ภัยคุกคาม’

หลังโควิด-19, ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และเหตุการณ์ล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ในปี 2022 ทำให้ซัพพลายเชนโลกหยุดชะงัก กระทบต่อหลายประเทศ ทำให้โลกเริ่มตั้งคำถามว่า “เราพึ่งพาจีนมากเกินไปหรือไม่?” และการที่พึ่งพามากไป นำเข้าสินค้ามากมายนั้น ในทางกลับกัน เกิดความไม่สมดุลทางการค้าหรือเปล่า

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมีระดับการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตรงกันข้ามกับจีนที่มีแนวโน้มพึ่งพาประเทศตะวันตกลดลง

ข้อมูลของ Merics หรือสถาบันเมอร์เคเตอร์เพื่อการศึกษาด้านจีนชี้ว่า โดยรวมแล้ว ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา การนำเข้าของจีนคงที่อยู่ที่ประมาณที่ 10% ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยในปี 2022 การนำเข้าของจีนคิดเป็น 1.7% ของ GDP ซึ่งหากไม่นับสินค้าที่จีนจำเป็นต้องนำเข้าในปริมาณสูง เช่น แร่เหล็ก ถ่านหิน (รวมถึงลิกไนต์) และถั่วเหลือง การพึ่งพาการนำเข้าจะอยู่ที่เพียง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น

ในปี 2022 มูลค่ารวมของการพึ่งพาทางการค้าของจีน กับประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐฯ EU และญี่ปุ่น ลดลงเหลือเพียง 35% จากที่เคยมากถึง 73% ในปี 2001 ทั้งยังเห็นได้ว่า จีนเปลี่ยนวิธีการ และกระจายความสัมพันธ์ทางการค้าออกไป มีสัดส่วนการนำเข้าจากประเทศอื่นๆ มากขึ้น อย่างออสเตรเลีย บราซิล อินโดนีเซีย

กลับกันในขณะที่จีนลดการพึ่งพาตะวันตก ประเทศฝั่งตะวันตกกลับพึ่งพาจีนมากขึ้น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปกลับเผชิญการพึ่งพาซัพพลายเออร์รายใหญ่จำนวนน้อยรายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยสหรัฐฯ มีสัดส่วนการพึ่งพาเป็นสัดส่วนของมูลค่านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นจาก 11% ในปี 2000 เป็น 16% ในปี 2022 ส่วนสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นจาก 7% เป็น 12% ในช่วงเวลาเดียวกัน

เมื่อพิจารณาเป็นสัดส่วนของ GDP การพึ่งพาทางการค้าของสหรัฐฯ เพิ่มจาก 1.2% ในปี 2000 เป็น 1.9% ในปี 2022 ขณะที่สหภาพยุโรปเพิ่มจาก 0.8% เป็น 2.1% ส่วนในแง่ของหมวดหมู่สินค้าที่เข้าข่าย "พึ่งพาสูง" สหรัฐฯ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 13% เป็น 22% และสหภาพยุโรปเพิ่มจาก 9% เป็น 14% ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว

ทั้งในปี 2022 ผลิตภัณฑ์ที่มาจากซัพพลายเออร์ชาวจีนเพียงไม่กี่ราย คิดเป็นประมาณ 70% ของมูลค่าการพึ่งพาทางการค้าทั้งหมดของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ 20% ในปี 2000

และเมื่อดูตัวเลขทั้งหมด ยังพบว่า ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปยังคงพึ่งพาจีนมากกว่าที่พึ่งพาประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกัน

ซึ่งเมื่อเกิดสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยีของสองประเทศใหญ่นี้ หนึ่งในนโยบายที่ตามมาคือ การย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เพื่อไม่ให้ได้รับผลจากความตึงเครียดนี้ จึงทำให้เกิดยุทธศาสตร์ ‘China + 1’ ซึ่งก็คือการที่บริษัทข้ามชาติยังคงดำเนินกิจการในจีน แต่เริ่มกระจายฐานการผลิตไปประเทศอื่นด้วย เช่น เวียดนาม อินเดีย เม็กซิโก หรือแม้แต่ในสหรัฐฯ เอง

  • Apple บริษัทเริ่มย้ายสายการผลิต iPhone บางส่วนไปยังอินเดีย โดยในปี 2024 มีการประเมินว่า เกือบ 14% ของ iPhone ผลิตในอินเดีย เทียบกับเพียง 1% เมื่อสองปีก่อน

  • Foxconn – พันธมิตรจีนของ Apple เอง ก็ขยายโรงงานในเวียดนาม

  • Samsung ย้ายสายการผลิตจำนวนมากไปยังเวียดนามตั้งแต่ก่อนโควิด ปัจจุบันเวียดนามผลิตสมาร์ตโฟน Samsung มากกว่า 50% ของทั้งโลก

  • Tesla ลงทุนตั้งโรงงานในเม็กซิโกเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตป้อนตลาดอเมริกาเหนือ

  • Intel – ทุ่มหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ตั้งโรงงานผลิตชิปในสหรัฐ

การย้ายฐานการผลิต กระทบกับจีนโดยตรง เพราะในปี 2023 การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลง 20% เมื่อเทียบเป็นรายปี และยังร่วงลงมาอยู่อันดับสองรองจากเม็กซิโกเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ ไปยังจีน ยังลดลง 90% จากจุดที่เคยสูงที่สุด

ถ้าถามว่าใครได้ประโยชน์จากตรงนี้ ก็คงเป็นประเทศที่กลายเป็นฐานการผลิตใหม่แทนจีน และมีการ trade creation เกิดขึ้น

  • เม็กซิโกอาจเป็นผู้ได้รับลาภลอยอันนี้มากที่สุด นิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในรัฐนูเอโวลีออนของเม็กซิโกที่สร้างโดย Lingong Machinery Group คาดว่าจะสร้างการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและสร้างงาน 7,000 ตําแหน่ง ซึ่งก็แน่นอนว่า พื้นที่นี้จะกลายเป็นโรงงานของบริษัทหลายแห่ง ที่ย้ายฐานจากจีนมา

  • เวียดนามเอง ก็ได้รับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) มากขึ้น โดยในปี 2023 มี FDI สูงถึง 36.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า

  • อินเดียได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากนโยบาย "Make in India" ซึ่งจูงใจให้บริษัทย้ายฐานจากจีนเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศด้วย

แต่รอบนี้ เห็นได้ว่าจากนโยบายของสหรัฐฯ เขาไม่ได้แค่มีจีนเป็นเป้าหมายเดียวอีกแล้ว แต่ขึ้นภาษีนำเข้ากับทั้งประเทศ ซึ่งประเทศอย่างเม็กซิโก หรือเวียดนามเอง ก็โดนไปในตัวเลขสูงเช่นกัน

แล้วการเลิกพึ่งพาจีน เป็นไปได้จริงหรือไม่ ?

แต่ภาพการที่จีนกับสหรัฐฯ แยกออกจากกันไปเลย หรือการ Decoupling นั้น อาจเป็นแนวคิดที่เป็นไปได้ยาก แต่ รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มองว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะมองจีนเป็นภัยคุกคามในระยะยาวต่อไป

“สหรัฐฯ บอกว่าจีนคือประเทศเดียวในโลกที่มีความสามารถ เพียงพอ มีศักยภาพเพียงพอ และมีความตั้งใจในการที่จะท้าทายเป้าหมายนี้ของสหรัฐอเมริกา ดังนั้นจีนเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่ง”

และดังนั้น สถานการณ์ ความขัดแย้งระหว่าง จีนกับสหรัฐ ก็จะเป็นเรื่องระยะยาว แล้วก็จะดําเนินต่อไป แบบนี้ ควบคู่ไปกับการใช้สงครามการค้า สงครามเศรษฐกิจ สงครามเทคโนโลยี สงคราม โลจิสติกส์ อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ต่อไป” อาจารย์กล่าว

แต่ถึงอย่างนั้น ผศ.ดร.ประพีร์ อภิชาติสกล อุปนายกสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ก็มองว่า แม้จะเป็นการมองจีนเป็นภัยคุกคาม แต่สองประเทศก็ต้องเพิ่งพากันและกัน

“สหรัฐอเมริกาเนี่ยต้องพึ่งพากรณีสินค้าของของจีนที่เข้าไปคนอเมริกันเองก็แน่นอนว่าต้องซื้อสินค้าที่แพงขึ้นแน่นอน แล้วก็จีนเองก็ต้องพึ่งพา เพราะว่าสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่สําคัญอย่างหนึ่ง พูดกันตรงๆ ว่าการแข่งขันกัน หรือการที่จะมาเหมือนกับเรื่องของภาษี การทะเลาะกันเรื่องอะไรเนี่ย มันไม่ดีในระยะยาว แน่นอนอาจารย์มองว่ายังไงในที่สุด เขาจะต้องตกลงกันอยู่แล้ว แต่ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบไหน”

ทั้งนอกจาก Made in China 2025 ที่เดินหน้าสำเร็จไปแล้ว จีนยังมีนโยบายใหม่ ที่วางไว้สำหรับ 10 ปีข้างหน้า ที่อาจทำให้การอยากแยกจากจีนนั้น เป็นไปได้ยากกว่าเดิมอีก กับ China Standard 2035 ที่จีนจะพยายามทำให้สินค้า การผลิต และวิธีของตัวเองเป็นมาตฐานโลกแบบที่ยากจะหลีกเลี่ยงจีนได้ด้วย

แล้วไทยอยู่จุดไหนในสมการนี้ ?

หากสหรัฐฯ และจีนแม้จะแยกจากกันไม่ได้ แต่มีการเกิดความขัดแย้งอยู่เรื่อยๆ นั้น อ.ปิติก็มองว่า โลกจะแบ่งออกเป็น 3 Global value chain

  • ห่วงโซ่ที่นําโดยสหรัฐ และพันธมิตรนะครับ

  • ห่วงโซ่ที่นําโดยจีนและพันธมิตร

  • ห่วงโซ่ของประเทศอื่นๆ ที่เหลือ

เกิดเป็นคำถามว่า ไทยเราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากกระแสเหล่านี้ และเราต้องปรับตัวรับมือยังไง ?

อ.ประพีร์มองว่า ไทยต้องหาตลาดใหม่ๆ นอกจากสองห่วงโซ่แรก “รุกไปยังประเทศใหม่ๆ หรืออาจจะมีคนมองว่า เราก็ต้องร่วมมือกับอาเซียนมากขึ้น แต่ส่วนตัวสําหรับอาจารย์เอง อาจารย์ก็มองว่าอาเซียนก็จําเป็นแหละแต่ ณ จุดเนี้ย มันเป็นจุดที่ตัวใครตัวมัน” เพราะประเทศอาเซียนต่างก็ต้องเข้าหาสหรัฐฯ และมหาอำนาจเช่นกัน

“สําคัญที่สุดก็คือการเจรจาเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ จริงๆ ที่เราจะไม่ได้คบกับประเทศมหาอํานาจ เราต้องการประเทศมหาอํานาจ คือนโยบายต่างๆ ที่ถูกกําหนดมาทั้งหมด มันเหมือนจะเราจําเป็นที่จะต้องเข้าหาเค้าแล้วกัน เค้ามีความสําคัญ แต่ก็จะเข้าหาอย่างไรให้มีศิลปะเท่านั้นเอง ณ ตอนนี้ที่อาจารย์มองว่า รัฐบาลก็อยู่ในจุดที่เหมือนกับติดอยู่ที่ว่า จะหาวิธีการอย่างไร ที่จะโอเคได้ สามารถที่จะเข้าถึง

อเมริกาด้วย แล้วก็ตกลงให้เกิดผลประโยชน์ของประเทศไทยด้วย ทํายังไงให้เขาสนใจเรา ในเวลาเดียวกันก็ทํายังไงที่ทําให้จีนมองว่าเราก็ยังเป็นมิตรกับเขาอยู่ เราก็ยังร่วมมือกับเขาได้อยู่ อันนี้เป็นจุดที่บาลานซ์กันที่แบบว่าจังอาจารย์มองว่า รัฐบาลไทยก็คงยังพยายามอยู่ที่จะทําตรงนี้อยู่”

ทั้งอาจารย์ยังเสริมว่า ไทยต้องปรับวิธีคิดที่จะไม่เลือกข้าง แต่ต้องคิดไปมากกว่านั้นว่า จะใช้ทุกเครื่องมือให้ได้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเราด้วย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานการณ์โลกหลังจากนี้ จะมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งจากนโยบายของสหรัฐฯ หรือจีนเอง และเราอาจจะต้องอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ของสงครามการค้า การกีดกัน การกดดันระหว่างกัน และเศรษฐกิจเราก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยไม่มากก็น้อย

ข้อมูลเชิงประจักษ์เหล่านี้ และความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่างก็มองว่า ไทยจะต้องปรับทั้งนโยบายภาคใน และภายนอกอีกมาก เพื่อให้อยู่รอดได้ สิ่งสำคัญ คือการที่ประเทศไทยจะต้องกำหนดทิศทาง และผลประโยชน์ของประเทศเราให้ชัดเจน เพราะหากขยับช้าไป อาจถึงจุดที่สายเกินแก้ก็เป็นได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก TNN ช่อง16

กระทรวงยุติธรรม เร่งขับเคลื่อนแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

"เครื่องบินไฮบริดไฟฟ้า" Cassio 330 เบา เงียบ ประหยัด เพื่อการเดินทางที่ยั่งยืน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

"ทรัมป์" ยันไม่มีแผนขยายเจรจาการค้า เส้นตาย 9 ก.ค.

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

คนพูดไม่จำ คนฟังไม่ลืม รู้จัก Verbal Bullying รับมืออย่างไร

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

ครบรอบ 50 ปี ตลท. คลังมอบภารกิจฟื้นฟูความเชื่อมั่น

สำนักข่าวไทย Online

การประชุมสหประชาชาติเพื่อการพัฒนา เริ่มต้นขึ้นแล้วที่สเปน ท่ามกลางปัญหางบประมาณ

JS100

ด่วน! 5 คนร้ายควงปืนปล้นเงินเหยื่อ 3.4 ล้าน กลางห้างดัง

NATIONTV

ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.เยี่ยมปลอบขวัญ รอง สว.(ป.) กก.ตชด.24 ถูกคนร้ายลอบยิงบาดเจ็บที่บ้านปูโป

สยามรัฐ

บริษัทออกแบบตึก สตง. ออกแถลงการณ์โต้ ผลการสอบสาเหตุตึกถล่ม

Khaosod

GPO จัดงานมหกรรมสมุนไพรครั้งที่ 22 ชูสารสกัดสมุนไพร พร้อมเปิดตัวครีมบำรุงผิวสูตรเข้มข้น

สยามรัฐ

ลาวตั้งเป้าพัฒนาคุณภาพการศึกษาควบคู่ ‘ความเท่าเทียมทางเพศ’

Xinhua

วงจรรปิดจับภาพ อดีตเจ้าคุณอาชว์ เดินทางกลับเข้าไทย เผยข้ามไปสึกฝั่งสปป.ลาว แต่ไม่สำเร็จ

Khaosod

ข่าวและบทความยอดนิยม

ร่างกฎหมายลดภาษีทำสหรัฐฯ เพิ่มหนี้ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ ฯ

TNN ช่อง16

อิหร่านลั่นสหรัฐฯ ต้องชัดเจนด้วยการหยุดโจมตีหากต้องการกลับสู่โต๊ะเจรจา

TNN ช่อง16

เช็กข้อกำหนดใหม่! จีน ออกประกาศเกี่ยวกับ "พาวเวอร์แบงค์"

TNN ช่อง16
ดูเพิ่ม
Loading...