ฟ้องร้อง ขึ้นศาล ใช้เงินจ้างทนายกี่บาท คู่มือสู้คดี ฉบับเข้าใจง่าย
เมื่อใดก็ตามที่คุณได้รับหมายเรียกจากศาล โดนฟ้อง หรือกำลังจะยื่นฟ้องคนอื่น เรื่องสำคัญอันดับแรกคือ หาเวลาคุยกับทนายทันที เพราะคดีแพ่งกำหนดให้จำเลยต้องยื่นคำให้การภายใน 15 วัน นับจากรับหมาย ส่วนคดีอาญาบางข้อหากระชั้นกว่านั้นคือ 7 วัน หากปล่อยเลย ศาลอาจพิพากษาโดยไม่ไต่สวนได้
ส่วนคนที่อยากฟ้องควรเริ่มด้วยการปรึกษาทนายเพื่อประเมินโอกาสแพ้–ชนะ คำนวณต้นทุนคร่าวๆ ก่อนจะตัดสินใจออก จดหมายทวงถาม หรือขอไกล่เกลี่ยกับหน่วยงานรัฐ ว่าเงินที่จ้างทนายคุ้มกับที่ฟ้องมั้ย ถ้าจบที่ขั้นตอนไกล่เกลี่ย มักทำให้คู่กรณีตกลงกันได้โดยยังไม่ต้องขึ้นศาล
ค่าใช้จ่ายจ้างทนาย ต้องเตรียมเงินกี่บาท?
ราคาจ้างทนายไม่มีเพดานตายตัว แล้วแต่สำนักงานกฎหมายกำหนด ถ้าเป็นทนายไม่มีชื่อเสียงนักรหรือมือใหม่ ราคาก็จะถูกกว่า ทนายเซเลป ที่มีชื่อเสียงในสื่อ หรือสำนักงานกฎหมายมืออาชีพ ต้องใช้ภาษาอังกฤษ หรือคดีซับซ้อน ต้องใช้พยานหลักฐานสูง ราคาก็จะแพงขึ้นมาก
รายการ ช่วงราคาโดยประมาณ* หมายเหตุ ค่าปรึกษา/ทำร่างเอกสารแรก 3,000 – 10,000 บ. บางสำนักงานคิดเป็นชั่วโมง ค่าทนายว่าความศาลชั้นต้น 30,000 – 80,000 บ. (คดีทั่วไป) งานยาก หรือทุนทรัพย์สูงอาจแตะหลักแสน tiwanonlaw.com ค่าทนายศาลอุทธรณ์-ฎีกา +40,000 บ. ขึ้นไป/ชั้นศาล อาจแยกสัญญาใหม่ ค่าธรรมเนียมศาล (คดีแพ่ง) 2 % ของทุนทรัพย์ > 300,000 บ. (เพดาน 200,000 บ.) / 1,000 บ. ถ้าต่ำกว่า 300,000 บ. จ่ายเมื่อยื่นฟ้องหรือตอบฟ้อง tgcthailand.com ค่าส่งหมาย/ค่าพยาน 500 – หลายพัน/ครั้ง ระยะทาง-จำนวนจำเลยมีผล ค่าประกันตัว (คดีอาญา) 20,000 – หลักล้าน ตามข้อหา-ดุลยพินิจศาล
*ตัวเลขเฉลี่ยตลาดปี 2567 – 2568 เพื่อการวางแผนเท่านั้น
ปกติสัญญาว่าจ้างจะแบ่งจ่ายเป็นงวด เช่น มัดจำตอนรับสำนวน, งวดขึ้นศาลชั้นต้น, และงวดอุทธรณ์หรือฎีกา ส่วนค่าธรรมเนียมศาลกรณีคดีแพ่ง ศาลจะคิด 1,000 บาท หากทุนทรัพย์คดีต่ำกว่า 300,000 บาท แต่ถ้าสูงกว่านั้นจะคิด 2 เปอร์เซ็นต์ของทุนทรัพย์และไม่เกิน 200,000 บาท ขณะที่คดีอาญาอาจต้องเตรียมเงินประกันตัวตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้านตามความร้ายแรงของข้อหา
เป็นคดีฟ้องร้องในศาล ใช้เวลากี่เดือนจบ
ภาพรวมระยะเวลาการต่อสู้คดีใช้เวลาหลักหลายเดือน เพราะในศาลมีคตีเยอะมาก ยิ่งจังหวัดไหนมีประชากรเยอะ จำนวนคดีก็มีโอกาสเยอะตาม ถ้าฟ้องตรงต่อศาล ไม่ผ่านกระบวนการสอบสวนของตำรวจ แรกสุดศาลจะนัดโจทก์มาไต่สวนมูลฟ้อง ว่าคดีมีมูลหรือไม่ ถ้าศาลรับทำคดี ศาลชั้นต้นจะนัดเวลาพิจารณาวันสืบพยานอีกครั้ง
ศาลชั้นต้นมักใช้เวลา 6 เดือนในคดีจัดการพิเศษ ราว 1 ปีสำหรับคดีสามัญ เมื่อต่อสู้ไปถึงชั้นอุทธรณ์จะเพิ่มขึ้นอีกราว 1ปี ถ้าสู้ถึงชั้นฎีกาก็อาจเพิ่มอีกปีหนึ่ง รวมแล้วคดีที่ลากยาวครบ 3 ศาลมักกินเวลาอย่างน้อย2-3ปี แม้พิพากษาถึงที่สุดแล้ว หากเป็นฝ่ายชนะก็ยังต้องใช้เวลา 3–6 เดือนสำหรับกระบวนการบังคับคดี ไม่ว่าจะยึด อายัด หรือขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลย ค่าทนายช่วงบังคับคดีมักคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เล็ก ๆ ของยอดที่ยึดคืนได้
ในฐานะจำเลย สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าเพิกเฉยหมายศาล เพราะหากไม่ยื่นคำให้การหรือไม่มาตามนัด ศาลอาจพิพากษาแพ้ทันที ทั้งๆ ที่เราอาจมีโอกาสชนะ ไม่ผิดเลยก็ได้
จำเลยสามารถขอไกล่เกลี่ยได้ทุกช่วงเวลา แม้ในวันนัดสืบพยานก็ยังขอให้ศาลเปิดห้องเจรจาได้ ผู้มีรายได้น้อยยังยื่นขอทนายอาสาจากสภาทนายความหรือศาล เพื่อรับความช่วยเหลือฟรีเ ไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนโจทก์ต้องเตรียมหลักฐานให้รัดกุมที่สุด ตั้งแต่สัญญา ใบเสร็จ แชต ไปจนถึงอีเมล เพราะยิ่งเอกสารชัด คดีจะเดินเร็วและลดความเสี่ยงเสียค่าศาลโดยเปล่าประโยชน์ โจทก์บางคนต่อรองจ่ายค่าทนายแบบ “เหมาจ่ายบวกโบนัสหากบังคับคดีสำเร็จ” ซึ่งทำได้ถ้าไม่ขัดกับข้อห้ามแบ่งทรัพย์ตามคำพิพากษา
ถ้าเราแพ้คดี ต้องจ่ายค่าทนายให้อีกฝ่ายไหม
ศาลมีอำนาจสั่งให้ ฝ่ายแพ้ ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมให้ผู้ชนะ ตามมาตรา 149 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.) ระบุชัดว่า รวมค่าทนายความอยู่ในนั้นด้วย ปกติแล้ว ถ้าเป็นดคีแพ่ง ค่าทนายให้เป็นพับ
ส่วนอาญา ศาลมักให้จ่าย แต่จำนวนที่จ่าย ไม่ใช่ค่าจ้างจริงที่คู่กรณีทำสัญญากับทนาย แต่ศาลจะคำนวณตาม ตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ. กำหนดเพดานสูงสุด คดีละ ไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท และไล่ขั้นบันไดเพิ่มตามมูลค่าคดี สูงสุดไม่ถึงหลักแสน แต่ส่วนใหญ่ศาลมักให้จ่ายจริงหลักพัน เช่น โจทก์ชนะคดี อ้างว่าจ้างทนาย 5 หมื่น แต่ศาลสั่งให้ผู้แพ้จ่าย 4 พัน ส่วนต่าง 46,000 บาท โจทก์ต้องรับผิดชอบเอง
ศาลใช้ดุลพินิจอีกชั้นว่า ควรให้หรือไม่ หากคดีมีการยอมความครึ่งทาง หรือโจทก์ชนะเพียงบางส่วน ศาลอาจสั่งว่า “ค่าทนายเป็นพับ” ให้ต่างฝ่ายต่างออกเอง
ทนายภาคปฏิบัติจึงมักเตือนลูกความว่า“ต่อให้ว่าจ้างเราเป็นแสน ศาลอาจให้คู่แพ้คืนมาแค่หลักพันถึงหลักหมื่น” จึงอย่าคาดหวังเรียกคืนค่าทนายทั้งหมดได้
คดีอาญาต่างจากแพ่งอย่างไร
ถ้าอัยการเป็นโจทก์ คดีของรัฐ จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าทนายให้อัยการ เพราะรัฐแบกรับค่าใช้จ่ายเอง ถ้าผู้เสียหายเข้าเป็น โจทก์ร่วม หรือ ฟ้องเอง (เอกชน) ศาลอาจสั่งค่าทนายตามหลักเดียวกับคดีแพ่ง คือคิดจากตาราง 6 ประกอบดุลพินิจ
สิ่งที่คุณควรเตรียมใจ
เตรียมค่าทนายของตัวเองก่อนเสมอ เพราะโอกาสได้คืนมีจำกัดและใช้เวลานาน ต้องรอคดีถึงที่สุด
ต่อรองไทม์ไลน์ชำระกับทนาย ให้ชัดตั้งแต่ต้น บางสำนักงานลดค่าจ้างชั้นแรก แลกกับ โบนัสส่วนแบ่ง ถ้าเรียกคืนจากคู่แพ้ได้
อย่าลืมต้นทุนอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมศาล 2 % (เพดาน 200,000 บาท), ค่าส่งหมาย, ค่าสืบพยาน ฯลฯ ซึ่งศาลอาจให้คู่แพ้ชดใช้ แต่ อาจสั่งให้ตกเป็นพับได้เช่นกัน
เช็กลิสต์ก่อนเซ็นสัญญาจ้างทนาย
- ขอดูใบอนุญาตว่าความ (บัตรสภาทนายฯ) เพื่อความมั่นใจ
- สัญญาว่าจ้างต้องเป็นลายลักษณ์อักษร ระบุขอบเขตงานและค่าจ้างชัดเจน
- งวดการจ่ายเงินต้องชัดเจน (เช่น มัดจำ, ก่อนขึ้นศาล, ก่อนอุทธรณ์)
- ถามให้ชัดว่าค่าใช้จ่ายภายนอก (ค่าเดินทาง, ค่าส่งหมาย) รวมหรือแยกจ่าย
- ช่องทางติดต่อต้องสะดวก ตอบไว อัปเดตความคืบหน้าสม่ำเสมอ
ดังนั้น การมีคดีความ ไม่ต่างจากการเดินขึ้นเขาลูกสูง ไกล เหนื่อยทรมาน ต้องทรหด การมีทนายดี ๆ เปรียบเสมือนมีไกด์ผู้รู้เส้นทาง พาคุณก้าวข้ามรอยแยกทางกฎหมาย ลดจุดอันตรายที่ซ่อนอยู่ คอยเตือนให้หยุดพักก่อนแรงจะหมดกระเป๋า ถ้าต้องสู้ก็สู้ด้วยแผนที่ชัดเจน รู้ต้นทุน รู้ความเสี่ยง รู้เพดานค่าทนายที่อาจต้องจ่ายให้คู่กรณี
สำคัญที่สุดคือรู้ว่าเมื่อถึงจุดไหนควร “พักสงบศึก” เพื่อรักษาทรัพย์และสติไว้ต่อยอดอนาคต เพราะชัยชนะที่แท้จริงไม่ใช่แค่คำพิพากษาในมือ แต่คือการที่คุณยังยืนบนยอดเขาได้อย่างมั่นคง พร้อมทรัพยากรและหัวใจสำหรับก้าวต่อไป