หลักฐานชัดฟัองทั่วโลก
“รมช.” สั่ง“ทบ.” เชิญผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ ลงพื้นที่ดูความเสียหาย เหตุทหารไทยปะทะทหารกัมพูชา ยันประท้วงแน่ เหตุละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ยัน “ไทย” มีหลักฐานหมด ด้าน “ศบ.ทก.”ระบุไทยพร้อมประชุมจีบีซี 4 ส.ค.นี้ แจงห้ามบิน “โดรน”ทุกประเภทรัศมี 9 กม.ในพื้นที่ 14 จังหวัด ขอประชาชนยังอยู่สถานที่พักพิง ด้าน “สถานทูต-กงสุลใหญ่ไทย”ทำงานเชิงรุก เร่งชี้แจงสถานการณ์ทั่วโลก ขณะที่ ศาล รธน.มีมติ 5 ต่อ 4 ไฟเขียว“แพทองธาร”ขยายเวลาครั้งสุดท้าย แจง “คลิปฮุน เซน” 4 ส.ค.นี้
เมื่อวันที่ 30 ก.ค.68 พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานการประชุมสภากลาโหม ถึงกรณีฝ่ายไทยเตรียมให้กองทัพบก ประสานผู้ช่วยทูตทหารนานาประเทศ ประจำประเทศไทยลงพื้นที่ชายแดนว่า จะพาไปดูความสูญเสียของพลเรือนที่ได้รับการปฏิบัติจากฝ่ายทหารกัมพูชา ซึ่งเพิ่งได้สั่งการไปที่กองทัพบกเมื่อคืนนี้ ขณะนี้ยังไม่ทราบว่า จะมีประเทศใดบ้างเข้าร่วม ทั้งนี้พยายามประสานงานกับประเทศมาเลเซียให้มาดูเรื่องของสถานการณ์ในพื้นที่ด้วย ส่วนกรณีเรื่องการละเมิดข้อตกลงของกัมพูชาที่มีการยิงตามแนวชายแดน เรื่องนี้ต้องมีการประท้วง และสื่อสารให้นานาชาติรับทราบ โดยได้ย้ำกับกองทัพบกให้สื่อสารทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ซึ่งโฆษกทุกเหล่าทัพต้องช่วยกัน รวมทั้งของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา หรือ ศบ.ทก. พร้อมย้ำว่า หลักของการหยุดยิงตามข้อตกลงคือ ทุกหน่วยต้องหยุด อยู่กับที่ และรอจนกว่า จะมีผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ จีบีซี
พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ส่วนที่ฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธการละเมิดข้อตกลงการหยุดยิงนั้น ที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้ตลอด โดยธรรมชาติของกัมพูชา ซึ่งตนพูดอยู่เสมอว่า ถ้าจะปรับให้ไปเป็นเหมือนกัมพูชา ไทยก็จะเสียเครดิตในเวทีโลก จึงต้องยืนอยู่แบบประเทศผู้เจริญ มีวุฒิภาวะ อย่าไปปรับตัวตามกัมพูชา จึงขอฝากสื่อมวลชน ทำความเข้าใจกับประชาชน แต่ก็เสียใจตรงที่ว่า เวลาที่กัมพูชาพูดอะไร คนไทยก็มักจะทะเลาะกันเองไปหมด ประเด็นกลายเป็นกัมพูชาทำให้คนไทยทะเลาะกัน และฝ่ายกัมพูชาได้ผล กลายเป็นว่า กัมพูชาทำ IO ประสบความสำเร็จ แต่ไทยจะไปบิดเบือนเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเราต้องยึดความจริง
“ในช่วง 2-3 วันนี้ ตนต้องทำงานภายใต้ความกดดัน และการตัดสินใจที่อยู่บนผลประโยชน์ของประเทศ เพราะการตัดสินใจแต่ละเรื่องต้องคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย และขอย้ำว่า กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ ได้รวบรวมข้อมูลไว้ทุกอย่างว่า กัมพูชาบิดเบือนอะไรบ้าง มีภาพ และเทคโนโลยีของ Gistda และภาคเอกชน ซึ่งเป็นภาพถ่ายทางอากาศ แต่จะไม่เปิดเผยในช่วงนี้ ก็ปล่อยให้กัมพูชาบิดเบือน แต่เมื่อไปถึงขั้นการไต่สวนกันแล้ว และมีการเผชิญหน้า ในกระบวนการไต่สวน ก็จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปชี้แจงว่า กัมพูชาบิดเบือนอะไรบ้าง”
พล.อ.ณัฐพล ระบุต่อว่า ในสถานการณ์แบบนี้ จำเป็นต้องชี้แจงกับประชาชนให้รับทราบข้อมูล และกองทัพก็ต้องใช้ฝีมือในการทำงาน เพื่อสร้างความเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจ ส่วนกรณีที่มีภาพอ้างอิงกัมพูชาจ้างทหารรับจ้างสัญชาติรัสเซีย มาร่วมรบนั้น เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็มีการสอบถามถึงที่มาของภาพ ขอย้ำว่า ทุกอย่างยังอยู่ในการเตรียมความพร้อม
“ผมได้ย้ำถึงแนวทางของรัฐบาลหลังจากนี้ว่า กรณีที่มีการละเมิดข้อตกลงจากฝ่ายกัมพูชา ส่วนใหญ่จะให้ ศบ.ทก. ที่มีทุกหน่วยงานมาร่วมกันทำงานอยู่แล้ว เพื่อติดตามเรื่องนี้ และในส่วนตัวในฐานะรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพอยู่ตลอด ซึ่งก่อนเดินทางไปร่วมคณะกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ที่ประเทศมาเลเซีย ได้พูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ และกลับมาก็ยังมีการพูดคุยกันอีก เพื่อทำความเข้าใจ และชี้แจงแนวทางปฏิบัติ ตามที่ได้มีการหารือที่ประเทศมาเลเซีย”
เมื่อเวลา 12.15 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ว่า ขอเน้นย้ำไทยยังคงยึดมั่นในเรื่องความอดทน อดกลั้น เชื่อมั่นในการดำเนินการด้านสันติภาพ และดำรงการปฎิบัติตามหลักมนุษยธรรม แต่ทหารไทยถูกละเมิดอธิปไตย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน ถือเป็นจุดยืนที่เราได้แสดงมาตั้งแต่ต้น
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ มีกำหนดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ซึ่งขณะนี้ฝ่ายไทยมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมประชุม ตอนนี้เรากำลังรอฝ่ายกัมพูชาส่งหนังสือเชิญเข้าประชุมตามที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมในเรื่องของรายละเอียดและเนื้อหาที่จะเข้าไปร่วมเจรจา ทั้งนี้ ในส่วนที่มีการพูดคุยกันเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ในระดับของแม่ทัพภาคได้ข้อตกลงในภาพรวมเรื่องแนวทางการหารือและแนวทางในการปฏิบัติร่วมกันระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่าย หวังว่าภาพนี้ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่สันติภาพในภูมิภาคและระหว่างทั้งสองประเทศ
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้รายงานตัวเลขผู้อพยพตามศูนย์พักพิงต่างๆ จำนวน 190,104 คน ในศูนย์พักพิง 780 แห่ง ตอนนี้สถานการณ์มีความเปราะบาง จึงขอให้ประชาชนรับฟังข่าวสารอย่างใกล้ชิด ประชาชนที่อยู่ศูนย์อพยพสามารถเดินทางกลับบ้านได้ต่อเมื่อ ทางภาครัฐยืนยันว่ามีความปลอดภัย ฉะนั้นในช่วงนี้ขอเน้นย้ำให้ประชาชนอยู่ในสถานที่ที่จัดสรรไว้ให้ก่อน เพราะต้องดูสถานการณ์กันต่อไป
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ในที่ประชุม ศบ.ทก. ยังมีการพูดถึงการห้ามบินโดรนในพื้นที่ที่อาจจะกระทบความมั่นคงของประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ก.ค. โดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำการบิน หรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน หรือโดรน ในพื้นที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ หรือในช่วงสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณตั้งแต่ จ.ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ปราจีนบุรี นครราชสีมา นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ ชัยนาท พิจิตร และลพบุรี นอกจากนี้ ยังห้ามบินโดรนทุกประเภทในรัศมี 9 กิโลเมตร หรือ 5 ไมค์ทะเล จากสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวทุกแห่งโดยเด็ดขาด ผู้ใดที่ฝ่าฝืนระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงว่า สำหรับข้อมูลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบบริเวณชายแดนไทย- กัมพูชา ฝั่งพลเรือนประจำวันที่ 30 ก.ค. ข้อมูลเมื่อเวลา 10.00 น. โดยปัจจุบันพลเรือนที่ได้รับผลกระทบ 53 ราย เป็นผู้เสียชีวิตจำนวน 15 ราย มีที่ จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และ จ.สุรินทร์ โดยเป็นพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส 12 ราย บาดเจ็บปานกลาง 13 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 13 ราย ปัจจุบันมีพลเรือนที่กำลังแอดมิดอยู่ในโรงพยาบาลจำนวน 11 ราย โดยเป็นผู้ที่มีอาการสาหัส 8 ราย และบาดเจ็บปานกลางจำนวน 3 ราย โดยมีผู้ป่วยที่สามารถกลับบ้านได้แล้วในช่วงที่ผ่านมารวมทั้งหมด 13 ราย
นพ.วรตม์ แถลงว่า สำหรับทีมปฏิบัติการ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว. สาธารณสุข ได้มอบหมายทั้งหมด 1,168 ทีม ให้พร้อมในการดูแลประชาชน ประกอบด้วยทีมรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทีม Mini Mert ทีม ALS และทีม MCATT และทีม SEHRT ปัจจุบันมีการปฏิบัติงานอยู่ 494 ทีม ในเขตพื้นที่ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ และผลการดำเนินงานด้านการดูแลจิตใจ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ปัจจุบันได้มีทีม MCATT และบุคลากรด้านสุขภาพจิตเข้าไปคัดกรองพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะที่อยู่ตามศูนย์พักพิงต่างๆ จำนวน 21,430 คน ผลการประเมินพบว่ามีความเครียดสูงประมาณ 600 คน และมีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายประมาณ 142 คน ซึ่งทั้งหมดได้รับการช่วยเหลือโดยจิตแพทย์และนักจิตวิทยา โดยเบื้องต้นเป็นการปฐมพยาบาลทางใจ สำหรับผู้ที่มีอาการหนักก็จะส่งต่อไปยังจิตแพทย์ในโรงพยาบาลจิตเวช หรือส่งเข้าไปรักษาตัวแบบผู้ป่วยในต่อไป
ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศน์ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในส่วนการดำเนินการต่อการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชานั้น ฝ่ายไทยได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการถึง รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน รวมถึงประเทศผู้สังเกตการณ์ ได้แก่ จีนและสหรัฐอเมริกาที่เข้าร่วมการเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา เช่น การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาเมื่อวันที่ 29 ก.ค. รวมทั้งยังมีหนังสืออีกฉบับถึงฝ่ายกัมพูชาโดยตรง สำหรับกรณีการละเมิดล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 29 ก.ค. ที่ภูมะเขือ ตามที่กองทัพบกได้ชี้แจงเป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว
นางมาระตี กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติม เรียกร้องให้กัมพูชายุติการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงทุกรูปแบบโดยทันที และกลับมาปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด ในส่วนของข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันนั้น กระทรวงการต่างประเทศจะส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากที่ได้มีหนังสือประท้วงไปที่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ไอซีอาร์ซี) เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียอีก โดยเฉพาะหลังจากที่สองประเทศได้ตกลงกันแล้วว่าจะหยุดยิง ซึ่งในขณะนี้มีทหารไทยเสียชีวิตไปอีก 1 นาย
นางมาระตี กล่าวว่า สำหรับบทบาทของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลกต่อการชี้แจงสถานการณ์ไทยกัมพูชาในวันเดียวกันนี้ กระทรวงต่างประเทศได้รายงานให้ที่ประชุม ศบ.ทก.ทราบถึงบทบาทเชิงรุกของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลก ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้หลายแห่งได้ร่วมแรงช่วยกันชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ทั้งประเทศเจ้าบ้านและประเทศที่อยู่ในเขตอาณา ที่ผ่านมาแต่ละสถานสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ได้แจ้งข้อมูลปัจจุบันเกี่ยวกับสถานการณ์ ท่าทีของไทย และหลักการที่ไทยยึดถือให้รัฐบาลและองค์การต่างๆ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญ สื่อมวลชนท้องถิ่นและชุมชนไทยในที่ต่างๆ ให้ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือน และเข้าใจในจุดยืนของไทยในการยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และกลับมาเข้าสู่การเจรจากับกัมพูชาบนพื้นฐานของความจริงใจและสุจริตใจ
นางมาระตี กล่าวว่า นอกจากบทบาทของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลกแล้ว เรายังมีคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ 4 สำนักงาน คณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน และสถานทูตอีกหลายแห่งที่มีหน้าที่ในกรอบพหุภาคี และองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งต่างกำลังชี้แจงจุดยืนของไทยในเวทีโลก และกรอบสำคัญที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะภายใต้อนุสัญญาต่างๆ เพื่อรักษาท่าที ย้ำบทบาทที่สร้างสรรค์ และแสดงความยึดมั่นต่อพันธะกรณีระหว่างประเทศของไทย
วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคำร้องในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่า ปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2568 ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จ ฮุน เซน จริง แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัวโดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ครั้งที่ 2 ของผู้ถูกร้อง ฉบับลงวันที่ 29 ก.ค. 2568 ซึ่งขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับถัดจากวันครบกำหนดเดิม เนื่องจากอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้เรียบเรียงทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาซึ่งยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปจนถึงวันที่ 4 ส.ค.2568 เป็นครั้งสุดท้ายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 31 ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย ได้แก่ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
อนึ่งกรณีผู้ถูกร้องไม่ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้ถูกร้องไม่ติดใจที่จะยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54 วรรคสาม