“ผยง” อ่านเกม เศรษฐกิจไทย เปราะบางติดกับดักซ้ำซ้อน
ประธานสมาคมธนาคารไทย ฟันธง เศรษฐกิจไทย เปราะบางถึงขีดสุด แนะ 3 มาตรการเร่งด่วน "กระตุก-ประคอง-ปฏิรูป" ชี้ชัด P/B ตลาดหุ้นต่ำเตี้ย ยอดเงินไหลออกนอกประเทศ เหตุขาดความเชื่อมั่น ปลุกทุกภาคส่วนร่วมปลดล็อก เตือนภัยหนี้นอกระบบพุ่ง 117% GDP กระตุกรัฐบาลเลิกคิดแบบ "เหมาเข่ง" ย้ำต้องใช้ทรัพยากรตรงจุด
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยบนเวทีสัมมนา “iBusiness Forum Decode 2025: The Mid-Year Signal ถอดสัญญาณเศรษฐกิจโลก พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย” โดยได้ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางซับซ้อนของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ซึ่งได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา และปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เศรษฐกิจนอกระบบที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เป็นภาระต่อระบบการคลัง และลดทอนประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนของภาคธุรกิจ
นายผยงได้ยกตัวอย่างสัญญาณที่สะท้อนปัญหานี้ คือ แม้ประเทศไทยจะมีสภาพคล่องเหลือเฟือ แต่เม็ดเงินกลับไหลออกไปลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ทั้งในรูปแบบกองทุนรวมและการลงทุนโดยตรง อีกหนึ่งตัวชี้วัดคือ Price to Book Value (P/B) ของตลาดทุนไทยที่เฉลี่ยเพียง 1.1 เท่า โดยกว่า 70% ของบริษัทจดทะเบียนมี P/B ต่ำกว่า 1.0 ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาความเชื่อมั่นและศักยภาพในการเติบโตของภาคธุรกิจไทยในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังพบสัญญาณของการเคลื่อนย้ายเงินทุนในเศรษฐกิจนอกระบบ เช่น การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกิดจากส่วนที่อธิบายไม่ได้ หรือ “Error and Omission” ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ ซึ่งอาจสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวของเงินทุนผ่านสินทรัพย์อย่างทองคำและคริปโตเคอร์เรนซีที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ในระบบเศรษฐกิจจริง
อีกด้านหนึ่งของเศรษฐกิจนอกระบบที่สะท้อนผ่าน หนี้ครัวเรือน นายผยงระบุว่า หากรวมหนี้ในระบบและ “หนี้นอกระบบ” (Gross debt) จะทำให้หนี้ครัวเรือนของไทยสูงถึง 117% ของ GDP และยังพบว่า 40% ของผู้กู้หนี้นอกระบบ เป็นเจ้าหนี้นอกระบบในเวลาเดียวกัน สะท้อนถึงความเปราะบางทางการเงินและการขาดข้อมูลที่จำเป็นในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
3 แนวทางแก้ปัญหา กระตุก ประคอง ปฏิรูป
นายผยงเน้นย้ำว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องเลิกแนวทางแบบ “เหมาเข่ง” หรือการใช้งบประมาณและทรัพยากรแบบไม่ตรงเป้าหมาย โดยเสนอให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาผ่าน 3 แนวทางหลักพร้อมกัน คือ:
- "การกระตุก" เศรษฐกิจในระยะสั้น: โดยเน้นมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มหนี้ครัวเรือนและ SME ที่มีความเปราะบาง ซึ่งปัจจุบันมีโครงการ "คุณสู้เราช่วย" รองรับอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจซึมลึกไปกว่านี้
- "การประคองและกระตุ้น" กลุ่มที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ: เพื่อไม่ให้กลุ่มปริ่มน้ำหลุดออกจากระบบ พร้อมทั้งสร้าง Safety Net ที่เพียงพอและทั่วถึง ยกระดับรายได้และเพิ่มโอกาสให้กับประชาชน ขณะที่ธุรกิจรายใหญ่ต้องเข้ามาช่วยประคองรายเล็กและ Supply Chain ให้รอดพ้นวิกฤต
- "การปฏิรูป" ปรับโครงสร้าง: ด้วยการผันเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบผ่านการให้แรงจูงใจและชี้ให้เห็นประโยชน์จากการเข้ามาอยู่ในระบบ การปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Reform) โดยให้ความสำคัญกับ Enforcement & Compliance และการทลาย Silo ของหน่วยงานที่ออกกฎหมาย การเพิ่มการลงทุนใน R&D เพื่อเพิ่มผลิตภาพและสร้างรายได้ที่สูงขึ้น การสร้าง Informed Citizen ที่เท่าทันพลวัตของโลกและสามารถใช้ประโยชน์จาก Disruptive Technology ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และการปฏิรูปข้อมูลซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การถกเถียงนโยบายที่อยู่บนความเข้าใจที่แท้จริง
นายผยงกล่าวทิ้งท้ายว่า "การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก การขยายเพดานหนี้สาธารณะอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ต้องนำไปใช้เพื่อการปฏิรูป สร้าง Trust & Confidence ไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
อีกทั้ง ทบทวนงบประมาณปี 2569 เพื่อจัดลำดับความสำคัญใหม่ รวมถึงพิจารณาใช้เครื่องมือทางการคลังต่างๆ อย่างเหมาะสม บนพื้นฐานของการเชื่อมโยงทุกมิติ (Connect the dots) และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและวัดผลได้ วิกฤตคือโอกาส หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนจุดเปราะบางให้กลายเป็นกล้ามเนื้อใหม่ของระบบเศรษฐกิจได้"