อย่าโลกสวย
ในห้วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนกับประเทศกัมพูชา คำถามสำคัญที่รัฐบาลไทยต้องตอบมิใช่เพียงว่า “จะเจรจาอย่างไร” หากแต่เป็น “จะเลือกเดินเกมใด” บนกระดานภูมิรัฐศาสตร์ที่ถูกวางโดยมหาอำนาจระดับโลก
ข้อเสนอของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจดูเป็นการยื่นไมตรีในห้วงยามวิกฤต ทว่าหลายฝ่ายกลับออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน โดยอ้างเหตุผลว่าไทยต้องรักษาดุลอำนาจกับจีน ซึ่งเป็นตรรกะที่สะท้อนความเข้าใจด้านนโยบายต่างประเทศอย่างผิวเผิน และไม่สอดคล้องกับความจริงบนเวทีโลก
เป็นที่ทราบกันดีว่าสหรัฐฯ ไม่เคยลังเลในการใช้กลไกทางเศรษฐกิจและความมั่นคงเพื่อกดดันประเทศที่ขัดแย้งกับตน การเพิกเฉยต่อข้อเสนอของทรัมป์ อาจถูกตีความว่าเป็นการแสดงออกเชิงลบที่นำไปสู่การตอบโต้ผ่านมาตรการทางภาษีหรือแม้แต่การแทรกแซงทางการทูตและความมั่นคง
ในเวลาเดียวกัน ท่าทีของจีนก็ไม่ได้ยืนยันแนวร่วมกับไทยอย่างเป็นรูปธรรม แม้จะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกัมพูชา แต่จีนได้แสดงความระมัดระวังผ่านการชี้แจงอย่างเป็นทางการว่า “ไม่ได้สนับสนุนอาวุธให้กัมพูชาโจมตีไทย” พร้อมระบุว่าอาวุธที่กัมพูชามีล้วนเป็นผลพวงจากความร่วมมือในอดีต
ข้อเท็จจริงดังกล่าวยืนยันสิ่งหนึ่งว่า โลกไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์ หากแต่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ การเมืองระหว่างประเทศจึงมิใช่เวทีแห่งศีลธรรม หากแต่คือสนามต่อรองของอำนาจ ผลประโยชน์ และความอยู่รอดของชาติ
ภายใต้บริบทนี้ รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเลือกข้างที่สร้างแต้มต่อให้มากที่สุด การดึงดันไม่รับข้อเสนอของทรัมป์โดยไร้ทางเลือกสำรอง มิใช่เพียงการตัดโอกาสของประเทศ แต่คือการเสี่ยงเปิดศึกหลายด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ การทูต และความมั่นคง
ดังนั้น การตัดสินใจใดๆ ในวันนี้ จึงไม่ควรถูกชี้นำด้วยเสียงวิพากษ์จากผู้ที่ไม่เคยต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย หากแต่ควรยึดโยงอยู่กับความจริงของโลก และความอยู่รอดของประชาชนไทยทั้งประเทศ