หุ้นแอปเปิล พุ่ง 13% แรงสุดในรอบ 5 ปี หลัง ทิม คุก พบ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาว
ราคา หุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 13% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบกว่า 5 ปี หลังจากที่ ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิล ปรากฏตัวร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
9 สิงหาคม 2568- ทิม คุก ซีอีโอของ แอปเปิล ได้เข้าพบกับ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพื่อประกาศแผนการลงทุนกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์กับบริษัทอเมริกันและชิ้นส่วนที่ผลิตในอเมริกาในช่วง 4 ปีข้างหน้า ซึ่งแผนการลงทุนของแอปเปิลทำให้ทรัมป์พอใจ จนออกมากล่าวว่าแอปเปิลจะได้รับการยกเว้นจากภาษีนำเข้าในอนาคตที่อาจทำให้ราคาชิปนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ภายหลังการหารือกันของ ทรัมป์ และซีอีโอแอปเปิล ทำให้หุ้นของผู้ผลิต iPhone ปรับขึ้น 4% ปิดที่ 229.35 ดอลลาร์ต่อหุ้นในวันศุกร์ ส่งให้บริษัทมีกำไรสูงสุดรายสัปดาห์ตั้งแต่กรกฎาคม 2020 การเคลื่อนไหวของหุ้นในสัปดาห์นี้ได้เพิ่มมูลค่าตลาดของแอปเปิลกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 3.4 ล้านล้านดอลลาร์
ปัจจุบันแอปเปิลเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 3 รองจาก Nvidia และ Microsoft และอยู่เหนือ Alphabet และ Amazon
ก่อนหน้านี้นักลงทุนเคยกังวลว่าภาษีนำเข้าบางรายการของทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของแอปเปิลอย่างมาก แอปเปิลเคยเตือนในเดือนกรกฎาคมว่าคาดว่าจะมีต้นทุนจากภาษีนำเข้าเกินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสปัจจุบัน หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง
[caption id="attachment_189975" align="aligncenter" width="750"]
ภาพจาก: google.com/finance[/caption]
สำนักข่าว CNBC อ้างอิง การวิเคราะห์ของ ซามิค แชตเทอร์จี นักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน ที่เขียนเมื่อวันพุธ ซึ่งเขาให้คำแนะนำหุ้นแอปเปิลในระดับ “overweight rating”
ซามิค แชตเทอร์จี ระบุว่า “แอปเปิลและทิม คุก ได้แสดงให้เห็นบทเรียนชั้นยอดในการจัดการกับความไม่แน่นอน หลังจากต้องเผชิญกับความกังวลยาวนานหลายเดือนเกี่ยวกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากภาษีนำเข้า”
ทั้งนี้การพบกันที่ทำเนียบขาวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และทิม คุก ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่แอปเปิลรายงานผลประกอบการไตรมาสเดือนมิถุนายน เพียง 2 สัปดาห์ โดยแอปเปิลมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10% และยอดขาย iPhone เติบโตขึ้น 13%
อ้างอิง : cnbc.com