เฟดอาจลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น หลังดัชนีจ้างงานสหรัฐอ่อนแอ
เฟดอาจลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น หลังดัชนีจ้างงานสหรัฐอ่อนแอ โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 106,000 ตำแหน่ง ขณะที่นักลงทุนให้น้ำหนักถึง 85.5% ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนกันยายน
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ในช่วงวันที่ 4-8 สิงหาคม 2568 ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เผชิญแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าคาด
โดยดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงทันทีหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 106,000 ตำแหน่ง และมีการปรับลดตัวเลขย้อนหลังอย่างมาก เช่น เดือนมิถุนายนจาก 147,000 เหลือ 14,000 ตำแหน่ง และเดือนพฤษภาคมมาจาก 125,000 เหลือ 19,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานปรับขึ้นเป็น 4.2% จาก 4.1% ในเดือนก่อนหน้า
สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดเมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปลด เอริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ หัวหน้าสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ หลังข้อมูลจ้างงานถูกปรับลดต่อเนื่อง พร้อมกับข่าวการลาออกก่อนกำหนดของ เอเดรียนา คูเกลอร์ ผู้ว่าการเฟด ซึ่งเปิดทางให้ประธานาธิบดีทรัมป์แต่งตั้งบุคคลใหม่ที่อาจสนับสนุนการลดดอกเบี้ยมากขึ้น ผลกระทบจากข้อมูลเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในเฟด ส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปสู่พันธบัตรรัฐบาล โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 2 ปีลดลง 25 bps และ 10 ปีลดลง 16 bps
โดยในวันพฤหัสบดี (7/8) ประธานาธิบดีทรัมป์ แต่งตั้ง สตีเฟน มิแรน เข้าดำรงตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่างลงในคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 มิแรนเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจที่กระทรวงการคลังสหรัฐ ในช่วงปี 2563-2564 และถือเป็นบุคคลสำคัญเบื้องหลังนโยบายการค้าของสหรัฐในสมัยที่สองของทรัมป์
ทั้งนี้ นักลงทุนทั่วโลกจับตาการประชุมเฟดที่เมืองแจ็กสันโฮล โดยเครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนักถึง 85.5% ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนกันยายน เพิ่มขึ้นจาก 63.1% ในสัปดาห์ก่อนหน้า สะท้อนความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงที่เหลือของปี
ค่าเงินบาทเปิดตลาดแข็งค่าขึ้นในวันจันทร์ (4/8) ที่ระดับ 32.50/52 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับปิดก่อนหน้า (1/8) ที่ 32.85/87 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ด้านนโยบายภายในประเทศ ครม.อนุมัติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 วงเงินรวม 18,500 ล้านบาท
ขณะที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับประมาณการ GDP ปี 2568 ขึ้นเป็น 1.8-2.2% และคาดการณ์การส่งออกขยายตัว 2-3% จากเดิมที่คาดติดลบ หลังความสำเร็จในการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ที่ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจาก 36% เหลือ 19%
อย่างไรก็ตาม ไทยยังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีการค้าสหรัฐ โดยอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นจาก 5.1% เป็น 19% และมีการกำหนดภาษี 40% สำหรับสินค้าที่สงสัยว่ามีการส่งผ่านประเทศที่สาม (Transshipment) ซึ่งไม่ถูกนับรวมเป็นมูลค่าการส่งออกของไทย ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก และอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคในไตรมาส 1/2569
ในด้านเศรษฐกิจ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 100.15 ลดลง -0.70% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต่ำกว่าคาดการณ์ และลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 จากราคาสินค้าในกลุ่มผักสด ผลไม้ ของใช้ส่วนบุคคลและพลังงานที่ลดลงตามราคาน้ำมันโลกและมาตรการช่วยเหลือของรัฐ
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ 51.7 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และต่ำสุดในรอบ 31 เดือน สะท้อนความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมือง ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา และผลกระทบจากนโยบายการค้าของทรัมป์ 2.0 แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ผู้บริโภคยังมองว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและการเข้าถึงสินเชื่อยังเป็นอุปสรรค
ทั้งนี้ ในระหว่างสัปดาห์ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 32.25-32.54 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (8/8) ที่ระดับ 32.35/37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดวันจันทร์ (4/8) 1.1553/57 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (1/8) ที่ระดับ 1.1406/07 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปเริ่มอ่อนตัวจากความกังวลต่อมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ซึ่งกำหนดอัตราภาษีสูงกับหลายประเทศ และเรียกเก็บภาษีพื้นฐาน 10% กับประเทศอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรปที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
ด้านเศรษฐกิจ ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการของยูโรโซนเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 50.9 สูงสุดในรอบ 4 เดือน แม้ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 52.4 โดยภาคบริการเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่การจ้างงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และแรงกดดันต้นทุนลดลง
ด้านเยอรมนีซึ่งเป็นเศรษฐกิจหลักของยูโรโซน รายงานว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายนลดลง 1.9% เมื่อเทียบรายเดือน แย่กว่าคาดการณ์ที่ -0.5% โดยตัวเลขเดือนพฤษภาคมถูกปรับใหม่จาก +1.2% เป็น -0.1% ขณะที่ยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 0.8% และนำเข้าเพิ่มขึ้น 4.2% ส่งผลให้ดุลการค้าลดลงเหลือ 14.9 พันล้านยูโร จาก 18.5 พันล้านยูโรในเดือนก่อน และ 20.3 พันล้านยูโรในช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป เพิ่มขึ้น 2.4% แต่ลดลง 2.1% ไปยังสหรัฐ ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนีในปี 2567 ด้วยมูลค่าการค้ารวม 253,000 ล้านยูโร สะท้อนแรงกดดันจากภายนอกที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนในระยะถัดไป
ทั้งนี้ ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1547-1.1698 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (8/8) ที่ระดับ 1.1647/49 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับปัจจัยในภูมิภาค ในวันพฤหัสบดี (7/8) คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 400% ในการประชุม โดยเสียงโหวตแบ่งเป็น 5 ต่อ 4 ซึ่งสะท้อนถึงความเห็นที่แตกต่างกันภายในคณะกรรมการเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ โดยฝ่ายที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ยให้เหตุผลว่าภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัว ขณะที่อีกฝ่ายยังกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง การตัดสินใจครั้งนี้สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดวันจันทร์ (4/8) แข็งค่าขึ้นที่ระดับ 147.81/83 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับปิดวันศุกร์ (1/8) ก่อนหน้าที่ 150.45/47 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ หลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นในญี่ปุ่น
รายงานการประชุม BOJ เดือนมิถุนายนส่งสัญญาณว่าอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปี หนุนค่าเงินเยนแข็งค่าต่อเนื่อง โดยดัชนี PMI ภาคบริการเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 53.6 เพิ่มขึ้นจาก 51.6 ในเดือนมิถุนายน สะท้อนอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่ง แม้ยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลง
ด้านการค้าระหว่างประเทศ ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 14.60 ล้านล้านเยน (ประมาณ 99.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 9.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยดุลการค้าสินค้าขาดดุล 1.76 ล้านล้านเยน ลดลง 28.9% จากปีก่อนหน้า ยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 2.3% อยู่ที่ 51.86 ล้านล้านเยน และยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 0.9% อยู่ที่ 53.62 ล้านล้านเยน ขณะที่รายได้ปฐมภูมิจากการลงทุนในต่างประเทศเกินดุล 20.77 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 3.3% และยอดเกินดุลเฉพาะเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 1.35 ล้านล้านเยน
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนอยู่ในกรอบระหว่าง 146.60-148.08 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (8/8) ที่ระดับ 147.40/42 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เฟดอาจลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น หลังดัชนีจ้างงานสหรัฐอ่อนแอ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net