BYD กำไรไตรมาส 2 ทรุด 30% ร่วงครั้งแรกในรอบ 3 ปี เซ่นสงครามราคา EV จีน
BYD กำไรไตรมาส 2 ทรุด 30% ร่วงครั้งแรกในรอบ 3 ปี เซ่นสงครามราคา EV จีน
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -1 ก.ย. 68 13:32 น.
การแข่งขันที่ดุเดือดในสมรภูมิยานยนต์จีนเริ่มส่งผลกระทบให้เห็นในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุด แม้แต่เบอร์หนึ่งแห่งวงการยานยนต์ไฟฟ้าของจีน อย่าง BYD ก็เช่นเดียว บริษัทเผยกำไรไตรมาส 2 ลดลงถึง 30% และเป็นครั้งแรกที่ลดลงในรอบกว่าสามปี ขณะที่หุ้นของ BYD ในฮ่องกงร่วงลงถึง 8% ในช่วงเปิดตลาดวันนี้ ก่อนลดช่วงลบมาอยู่ที่ 5.70% ในช่วงบ่าย
แม้ BYD จะสามารถรักษาสถานะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของวงการยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และยอดขายในต่างประเทศจะยังแข็งแกร่งก็ตาม แต่กำไรสุทธิของ BYD ในช่วงไตรมาส 2 อยู่ที่ 6,360 ล้านหยวน (892 ล้านดอลลาร์) ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้กำไรขั้นต้นหดตัวลงเหลือ 18% จาก 18.8% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024
ขณะที่บริษัทระบุถึงสาเหตุว่าเป็นเพราะแนวปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมในอุตสาหกรรมและการโหมทำการตลาดมากจนเกินไปและกดดันผลกำไร แต่หากดูในฝั่งของ BYD เองก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยที่ทำให้เกิดสงครามราคาในตลาด EV โดยบริษัทได้ลดราคาหลายรอบตั้งแต่ปี 2023 รวมถึงการลดราคาครั้งล่าสุดในเดือนพ.ค. จนทำให้รัฐบาลต้องออกมาเตือนผู้ผลิตรถยนต์ไม่ให้แข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตาย เพราะท้ายที่สุด จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานและทำลายภาพลักษณของแบรนด์ภายใต้ "Made-in-China"
ผลประกอบการของ BYD ออกมาซบเซาผิดคาด สวนทางกับแผนการขยายธุรกิจทั่วโลกที่รุดหน้าอย่างรวดเร็วในปีนี้จากการตั้งเป้าบุกตลาดสำคัญอย่างบราซิล ซึ่งทำยอดขายราวหนึ่งในสามของตลาดต่างประเทศ รวมถึงออสเตรเลีย สิงคโปร์ และบางส่วนของยุโรป ขณะที่รายได้ในต่างประเทศ (ไม่รวมฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน) เพิ่มขึ้น 50% ในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อยู่ที่ 135,400 ล้านหยวน
บริษัทวิจัย Sanford C. Bernstein มองว่ากำไรที่หดตัวลงเป็นเหมือนร่องรอยบาดแผลจากการแข่งขัน แม้ว่ายอดขายในต่างประเทศจะสูงขึ้นแต่แรงกดดันดังกล่าวก็ยังคงอยู่ พร้อมกับลดราคาเป้าหมายหุ้น BYD ลงมาอยู่ที่ 130 ดอลลาร์ฮ่องกง จาก 133 ดอลลาร์ฮ่องกง แต่ยังคงจัดอยู่ในกลุ่ม Outperform"
ขณะเดียวกัน กำไรสุทธิของบริษัทก็ชะลอตัวลงเช่นกัน ซึ่งเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการทำกำไรของ BYD กำลังถูกกดดัน ด้านยอดการกู้ยืมพุ่งขึ้นจาก 28,600 ล้านหยวน ณ สิ้นปี 2024 มาอยู่ที่ 39,100 ล้านหยวน นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในด้านการวิจัยและพัฒนาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทกำลังทุ่มเทพัฒนานวัตกรรมอย่างหนักแม้กำไรจะลดลง โดยคาดว่า BYD กำลังเร่งลงทุนในเทคโนโลยีหลัก อาทิ แบตเตอรี่, ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า และระบบอัจฉริยะ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ในระยะยาว
ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ให้มุมมองว่า แม้ต้นทุนวัสดุที่เพิ่มขึ้น รวมถึงระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง "God's Eye" มีส่วนทำให้อัตรากำไรอ่อนแอลง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ถือว่าน่าประหลาดใจ ซึ่งทำให้สงสัยว่ามีปัจจัยเฉพาะหรือปัจจัยทางบัญชีบางอย่างที่ทำให้กำไรไตรมาสสองหดตัวแรงหรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นผลจากการลดต้นทุนเชิงรุกมากขึ้นในไตรมาสที่ 3
ฝั่งนักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence กล่าวว่า กำไรสุทธิของ BYD ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจฟื้นตัวจากไตรมาสที่สอง แต่จะยังคงต่ำกว่าระดับปี 2024 เนื่องจากการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดในประเทศ ความต้องการในจีนจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 4 ก่อนที่มาตรการภาษีรถยนต์พลังงานใหม่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยนักวิเคราะห์มองว่า ยอดขายทั้งปีอาจอยู่ที่ 5 ล้านคัน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ 5.5 ล้านคัน
งบการเงินล่าสุดของบริษัทระบุว่า BYD กำลังเร่งจ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์เร็วขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเด็นหลักที่รัฐบาลจีนเข้ามากำกับดูแล แม้บริษัทจะไม่ได้เปิดเผยระยะเวลาการจ่ายเงินที่แน่ชัด แต่ระบุว่า ระยะเวลาโดยเฉลี่ยในการชำระเงินให้กับซัพพลายเออร์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมรถยนต์และลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2024 โดยจากข้อมูลที่บลูมเบิร์กรวบรวมในปี 2023 แสดงให้เห็นว่า BYD ใช้เวลาในการจ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์โดยเฉลี่ย 275 วัน ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมทั่วโลกมาก
บริษัทระบุเมื่อเดือนมิ.ย. ว่า จะปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ของรัฐบาลที่กำหนดให้จ่ายเงินซัพพลายเออร์ภายใน 60 วัน ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า อาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนหมุนเวียนและลดความยืดหยุ่นในการดำเนินงานของบริษัท
ที่มา Bloomberg
รายงาน โดย Supak Hopuengju เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ