ทูตไทย โต้ UN ถูก “กัมพูชา” พาดพิง ยัน ถูกละเมิดหยุดยิง
(30 ก.ค. 68) นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรของประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ได้กล่าวถ้อยแถลงระหว่างการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศ ว่าด้วยการระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี และการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง เนื่องจากไทยถูกกล่าวพาดพิง กลางวงประชุม
ระบุดังนี้
ประเทศไทยขอแสดงความชื่นชมต่อความพยายามและความมุ่งมั่นร่วมกันของท่านในการจัดการประชุมครั้งนี้ เพื่อยืนยันเจตจำนงทางการเมืองร่วมกันและความมุ่งมั่นต่อสันติภาพและเสถียรภาพอย่างยั่งยืนในตะวันออกกลาง
การประชุมที่เรารอคอยมายาวนานครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากนานาชาติ ในการหาทางออกที่ยุติธรรม ยั่งยืน และครอบคลุมสำหรับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ผ่านการดำเนินการตามแนวทาง “สองรัฐ” โดยสันติวิธี
น่าเสียดายที่มีผู้แทนจากประเทศหนึ่งหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา แม้ในตอนแรกข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวถึงเรื่องทวิภาคีในเวทีสำคัญนี้ แต่จำเป็นต้องชี้แจงข้อเท็จจริงโดยสังเขป เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ภายใต้ความช่วยเหลือของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ได้มีการตกลงหยุดยิง แต่ทันทีที่ข้อตกลงเริ่มมีผลในวันที่ 29 กรกฎาคม ประเทศเพื่อนบ้านของเรากลับยิงข้ามพรมแดนและลุกล้ำเข้าเขตแดนไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง
ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และขอยืนยันความมุ่งมั่นที่จะใช้ช่องทางทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งขอให้หยุดเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และร่วมมือกันอย่างจริงใจ
สถานการณ์ในฉนวนกาซาที่เลวร้าย ทั้งการสู้รบที่ยังดำเนินอยู่ ความทุกข์ทรมานด้านมนุษยธรรม การพลัดถิ่นของประชาชนจำนวนมาก และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง ล้วนเรียกร้องให้เรารื้อฟื้นการเจรจาและความพยายามในการปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพโดยเร่งด่วน
ขออนุญาตเน้นย้ำประเด็นสำคัญ ดังนี้
ประการแรก ประเทศไทยขอยืนยันการสนับสนุนแนวทาง “สองรัฐ” ในฐานะทางออกที่เป็นไปได้เพียงทางเดียวต่อสันติภาพที่ยั่งยืน โดยยึดตามกฎหมายระหว่างประเทศและมติที่เกี่ยวข้องของสหประชาชาติ เพื่อให้รัฐอิสราเอลและปาเลสไตน์อยู่ร่วมกันอย่างสันติและมั่นคง
แนวทางที่ครอบคลุมเป็นสิ่งจำเป็น ประเทศไทยสนับสนุนความพยายามทุกประการขององค์การสหประชาชาติ พันธมิตรระดับภูมิภาคและนานาชาติ รวมถึงสันนิบาตชาติอาหรับ องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และประเทศที่รักสันติภาพ เพื่อส่งเสริมการเจรจาที่สร้างสรรค์และสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อสันติภาพ ความไว้วางใจต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ผ่านมาตรการสร้างความเชื่อมั่น การมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์ และการทูตที่ครอบคลุม ซึ่งตอบสนองข้อกังวลและความปรารถนาของทุกฝ่าย
ประการที่สอง เราขอย้ำอีกครั้งถึงการเรียกร้องให้มีการหยุดยิงอย่างยั่งยืน และการปล่อยตัวตัวประกันที่ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่โดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีพลเมืองไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์นี้ เราจึงได้เห็นความสูญเสียด้านมนุษยธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งขยายผลกระทบเกินกว่าพื้นที่ของความขัดแย้ง สันติภาพในตะวันออกกลางจึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพวกเราทุกคน
ประการที่สาม การคุ้มครองพลเรือนยังคงเป็นลำดับความสำคัญสูงสุดของเรา เราสนับสนุนให้มีการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างปลอดภัย รวดเร็ว และไม่ถูกขัดขวาง ตามหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ในวันนี้ ขอให้พวกเรายืนยันความมุ่งมั่นร่วมกันอีกครั้ง ในการยุติความขัดแย้งครั้งนี้อย่างถาวร ด้วยการเจรจาที่สร้างสรรค์และแนวทางปฏิบัติที่มุ่งผลลัพธ์ ขอให้ประวัติศาสตร์จดจำเราในฐานะผู้กล้าที่ตัดสินใจลงมือทำเพื่อสันติภาพ มิใช่ผู้ที่นิ่งเฉยต่อความขัดแย้ง