9 กันยายน 68 ศาลฯชี้ชะตา ‘ทักษิณ-ชั้น 14’
ยังถูกวิจารณ์ต่อเนื่อง กระบวนการแจกแจง ข้อมูลข่าวสาร ของรัฐบาล กับการทำความเข้าใจของคนทั้งในและนอกประเทศ หลัง "กัมพูชา" ละเมิดข้อตกลง ผลการหารือแนวทางสันติภาพในภูมิภาค เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มี มาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ตั้งโต๊ะเจรจา มีสหรัฐ และจีน ให้การสนับสนุน และร่วมเป็นสักขีพยาน โดยช่วงคืนวันที่ 29 ก.ค.ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 30 ก.ค. ซึ่งทางคู่ขัดแย้งได้ ยิงอาวุธใส่ประเทศไทย จนหลายฝ่ายอยากรับรู้ข้อเท็จจริง ตั้งแต่คืนวันที่ 29 ก.ค. แต่กลับไม่มีการชี้แจงภาครัฐ
ทำให้ กองทัพบก ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง การละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยกองทัพกัมพูชา 1.พื้นที่ช่องคานม้า จังหวัดศรีสะเกษ ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เวลา 21.30 นาฬิกา กองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงเข้าใส่แนวกำลังฝ่ายไทย เป็นเหตุให้เกิดการปะทะจนถึงเวลา 22.00 นาฬิกา จึงยุติ 2.พื้นที่เขาพระวิหาร บริเวณภูมะเขือ และห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 22.00 นาฬิกา กองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับใช้อาวุธยิงสนับสนุนประเภทเครื่องยิงลูกระเบิด ฝ่ายไทยจึง จำเป็นต้องใช้สิทธิ ตามหลักสากลในการตอบโต้ เพื่อป้องกันตนเอง การยิงจากฝ่ายกัมพูชายังคงเกิดขึ้นเป็นระยะจนถึงช่วงเช้า วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 3.พื้นที่ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 05.17 นาฬิกา ตรวจพบ การยิงเครื่องยิงลูกระเบิด จากฝั่งกัมพูชา เข้ามาในเขตแดนประเทศไทยอย่างชัดเจน
กองทัพบกขอประณามการกระทำอันไม่รับผิดชอบของกองทัพกัมพูชาอย่างถึงที่สุด และขอแจ้งให้ทราบว่า ฝ่ายไทยจะยังคงดำรงตนอยู่บนหลักแห่งความอดกลั้น สันติภาพ และมนุษยธรรมอย่างสูงสุด อย่างไรก็ดี หากมีการละเมิดต่อเนื่อง กองทัพบก จะดำเนินการตามขั้นตอน ที่เหมาะสมและจำเป็นอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทยโดยไม่ละเว้น
หลายคนรอดู ในส่วนของรัฐบาล และ กระทรวงการต่างประเทศ จะทำให้ข้อมูลที่ไทยถูกโจมตีจากกัมพูชา และมี การละเมิดข้อตกลง ถูกนำเสนอไปยังบุคคลที่จัดเจรจา สักขีพยาน และเวทีระดับนานาชาติอย่างไร ขณะที่ “พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” รมช.กลาโหม กล่าวต่อว่า กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ ได้รวบรวมข้อมูลไว้ทุกอย่างว่า กัมพูชาบิดเบือนอะไรบ้าง มีภาพ และเทคโนโลยีของ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA และภาคเอกชน ซึ่งเป็นภาพถ่ายทางอากาศ แต่จะไม่เปิดเผยในช่วงนี้ ก็ปล่อยให้ กัมพูชาบิดเบือน แต่เมื่อไปถึงขั้นการไต่สวนกันแล้ว และมีการเผชิญหน้า ใน กระบวนการไต่สวน ก็จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปชี้แจงว่า กัมพูชาบิดเบือนอะไรบ้าง
ต้องรอดูว่า รัฐบาลจะบริหารความพอใจของประชาชนอย่างไร เมื่อรู้สึกว่า ภาครัฐมีความล่าช้าในการชี้แจงข้อเท็จจริง หลังถูกกัมพูชาละเมิดข้อตกลง และส่วนหนึ่งอาจจะมีความรู้สึกเป็นเพราะรัฐบาลยังมีความกังวล หรือมีความวิตกบางอย่าง
ส่วนคดีร้อนที่เกี่ยวข้องกับ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีความชัดเจน หลัง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดไต่สวน คดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 อัยการสูงสุด (อสส.) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ โดยได้ไต่สวนพยานจำเลย นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ โดยนายวิษณุ เบิกความว่า ได้ร่วม ประชุมกับเจ้าหน้าที่ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อเตรียมพร้อมในการ รับตัวนักโทษ เพราะจำเลยเป็นอดีตนายกฯ ถือเป็น บุคคลสำคัญทางการเมือง ของประเทศไทย น่าจะมีศัตรู และ น่าจะมีการเจ็บป่วย เนื่องจากสูงอายุ ได้เดินทางไปพิจารณาสถานที่กักขังของนักโทษหลายราย เพื่อประกอบการตัดสินใจ แต่ไม่ได้ มีการเตรียมการ สำหรับการย้ายตัวไปรักษาพยาบาลนอกทัณฑสถาน แต่ทั้งนี้มีการหารือว่า หากมีการเจ็บป่วย จะต้องส่งตัวไปที่ รพ.ใด ซึ่งเบื้องต้นตั้งหลักให้ เป็น รพ.รัฐบาล แต่หากมีอาการป่วยจำเพาะ ที่ต้องการหมอเฉพาะทางให้พิจารณาตาม รพ.ที่มี ข้อตกลงร่วม (เอ็มโอยู)
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า ได้พบนายทักษิณ ที่สถานพยาบาล ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้พูดคุยกับนายทักษิณเป็นระยะเวลา 20 นาที ยืนยันไม่ได้มีการพูดถึงการพักโทษ หรือการย้ายตัวคุมขัง แต่ทางจำเลยสอบถามตนเองเรื่อง การขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งต่อมานายทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่เรื่อง ไม่ผ่านมาที่ตน ในฐานะรักษาราชการแทนรมว.ยุติธรรม ซึ่งได้ให้คำแนะนำว่า หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการต่างๆ ตามกฎหมาย อยากให้นายทักษิณ ได้บวชเข้าสู่ทางธรรม ซึ่งนายทักษิณแจ้งว่า มีปัญหาส่วนตัวเล็กน้อยจึงไม่สะดวก ในช่วงกลางดึก วันที่ 22 ส.ค. ที่มีการย้ายตัวนายทักษิณเข้ารักษาตัวด่วนที่รพ.ตำรวจ ได้ทราบข้อมูลภายหลังจากการส่งตัวแล้วจาก ปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งก่อนหน้านายทักษิณระบุว่า ต้องการไป รพ.ย่านพระราม 9 ซึ่งตามระเบียบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
ทั้งนี้ ศาลนัดฟัง คำสั่งการบังคับโทษ เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ในวันที่ 9 ก.ย. 2568 เวลา 10.00 น. และให้ออกหมายเรียก ผู้บัญชาการเรือนจำ คนปัจจุบันมา และ นายทักษิณ ในฐานะจำเลยมารับฟังคำสั่งการบังคับโทษด้วย
เชื่อว่าหลายฝ่ายจับตามอง คำวินิจฉัย ในคดีการบังคับโทษ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นไปถึงที่สุดแล้วหรือยัง หลังจากมี หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัย ถึงการอาการป่วยของอดีตนายกฯ หลังเข้ารับการรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ เป็นการ ป่วยทิพย์ หรือ ป่วยจริง
ส่วนอีกคดีที่เกี่ยวข้องกับ "น.ส.แพทองธาร ชินวัตร" นายกฯ สืบเนื่องจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) พิจารณาคดีที่ 18/2568 กรณี ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาล รธน. วินิจฉัยตาม รธน. มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รธน.มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีนี้มีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อ ประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่า ปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร (ผู้ถูกร้อง) กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ล่าสุด ศาล รธน.พิจารณาคำร้องขอขยายระยะเวลา ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ครั้งที่ 2 ของผู้ถูกร้อง ฉบับลงวันที่ 29 ก.ค. 68 ซึ่งขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับถัดจากวันครบกำหนดเดิม เนื่องจากอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อใช้เรียบเรียงทำคำชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาซึ่งยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
ศาล รธน.เห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงมีมติโดยเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลา ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไป จนถึงวันที่ 4 ส.ค. 68 เป็นครั้งสุดท้าย ทั้งนี้ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาล รธน. พ.ศ. 2561 มาตรา 31 ส่วน ตุลาการศาล รธน.เสียงข้างน้อย ได้แก่ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ไม่อนุญาตให้ ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา อนึ่ง กรณีผู้ถูกร้องไม่ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่า ผู้ถูกร้องไม่ติดใจ ที่จะยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และศาล รธน.จะดำเนิน กระบวนพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาล รธน. พ.ศ. 2561 มาตรา 54 วรรคสาม
เมื่อศาล รธน.ขีดเส้นการส่งคำชี้แจง ภายในวันที่ 4 ส.ค. จากนั้นเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ซึ่งบทสรุปของ คดีคลิปเสียง น.ส.แพทองธาร จะมีผลต่อความเป็นไปของรัฐบาล ซึ่งถ้ารอด รัฐบาลก็ได้ไปต่อ ถ้าไม่รอด หัวหน้ารัฐบาลก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไป
ทีมข่าวการเมือง