โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ม.หอการค้าชี้ภาษีทรัมป์ 19% ฉุดส่งออกปี 69 วูบ 2.7 แสนล้าน ศก.ไทยปี 68 หดตัว 0.62%

สยามรัฐ

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ม.หอการค้าชี้ภาษีทรัมป์ 19% ฉุดส่งออกปี 69 วูบ 2.7 แสนล้าน ศก.ไทยปี 68 หดตัว 0.62%

วันที่ 5 ส.ค.68 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า กรณีอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของไทยที่ 19% ผลกระทบจากภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย และผลกระทบรวมต่อ GDP ในปี 2568 (ช่วง 5 เดือนหลังของปี) หดตัว 0.62% หรือลดลง 114,612 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ 1.ผลกระทบทางตรงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีต่อการส่งออก กระทบ GDP ลดลง 0.57% คิดเป็นมูลค่า 106,518 ล้านบาท 2. ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก กระทบ GDP ลดลง 0.15% คิดเป็นมูลค่า 26,978 ล้านบาท 3.ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนการค้า กระทบ GDP เพิ่มขึ้น 0.10% คิดเป็นมูลค่า 18,884 ล้านบาท โดยสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และ ยาง-ผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯสูง และยังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก

โดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 2569 ซึ่งเป็นผลกระทบเต็มปีคาดว่าจะมีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการส่งออก 275,069 ล้านบาท ทำให้จีดีพีหดตัวลง 1.48% แบ่งเป็น ผลกระทบทางตรงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีต่อการส่งออก 255,643 ล้านบาท , ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก 64,747 ล้านบาท แต่อาจได้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนการค้า 45,322 ล้านบาท หากมาตรการภาษีที่เข้มงวดไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น และ/หรือมีการเพิ่มความเข้มงวดกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS

สำหรับภาคส่งออก ในช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 ผลจาก Front Loading (การเร่งส่งออกล่วงหน้า) คิดเป็นมูลค่า 552,387 ล้านบาท ส่วน 5 เดือนหลังของปี 2568 ผลจาก Tariff Effects และ Demand Payback คิดเป็นมูลค่าติดลบ 338,847 ล้านบาท ส่วนต่างผลจาก Demand Payback ที่อาจจะมีต่อการส่งออกในปี 2569 ในช่วงครึ่งปีแรก คิดเป็นมูลค่า 213,539 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการเจรจาภาษี และได้รับการปรับลดอัตราภาษีตอบโต้จากที่ประกาศไว้ 36% ลงมาเหลือ 19% ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่เท่าเทียมกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา

สำหรับกลุ่มที่ได้เปรียบประเทศไทย ได้แก่ สิงคโปร์ ที่ได้รับอัตราภาษีเพียง 10% ซึ่งถือเป็นประเทศที่ได้เปรียบที่สุดในภูมิภาค รองลงมาคือ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ได้รับอัตราภาษี 15% ทำให้ประเทศเหล่านี้มีต้นทุนการส่งออกที่ต่ำกว่า และได้เปรียบสินค้าจากไทยในตลาดสหรัฐฯ ขณะที่สินค้าไทยที่เสียเปรียบสิงคโปร์ คือ แผงวงจรรวมขั้นสูง และเคมีภัณฑ์ขั้นสูง และสินค้าที่ไทยเสียเปรียบ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ คือแผงวงจรรวม และเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง และเครื่องจักรกล และเครื่องมืออุตสาหกรรมขั้นสูง ส่วนกลุ่มที่เสียเปรียบประเทศไทยมีหลายระดับ เริ่มจากเวียดนาม ไต้หวัน ศรีลังกา และบังกลาเทศ ที่ได้รับอัตราภาษี 20% ตามด้วยอินเดีย และบรูไนที่ 25% ลาว และเมียนมาที่ 40% และสุดท้าย คือ จีน ที่เสียเปรียบมากที่สุดด้วยอัตราภาษี 51% ซึ่งสร้างโอกาสให้ไทยสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากประเทศเหล่านี้ได้

โดยสินค้าที่ไทยได้เปรียบเวียดนาม คือสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์โทรคมนาคม และรองเท้า และผลิตภัณฑ์หนัง, สินค้าที่ไทยได้เปรียบไต้หวัน คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรอุตสาหกรรม, สินค้าที่ไทยได้เปรียบอินเดียคือ อัญมณีและเครื่องประดับ, ผลิตภัณฑ์เคมีและพลาสติก และเครื่องจักรกลและอุปกรณ์การผลิต และสินค้าที่ไทยได้เปรียบจีน คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและคอมพิวเตอร์ และเฟอร์นิเจอร์ และสินค้าเบ็ดเตล็ด

สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 6 มาตรการ ได้แก่

1.การช่วยเหลือและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ

- มาตรการบรรเทาผลกระทบ: ช่วยเหลือทางการเงินสำหรับผู้ส่งออก และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ, เน้นภาคส่วนเสี่ยงสูง สิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม, อาหารแปรรูป, ผลิตภัณฑ์ยาง และช่วยรักษาการจ้างงาน

- ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่า: สนับสนุน R&D และนวัตกรรม, พัฒนาสินค้าพรีเมียม และสินค้า GI (Geographic Indication) และลดการพึ่งพาการแข่งขันด้านราคา

2.การเสริมสร้างกฎแหล่งกำเนิดสินค้า

- สร้างความชัดเจนในกฎ Transshipment : เจรจากับสหรัฐฯ เพื่อสร้างความชัดเจนในเกณฑ์การพิจารณา, ลดการพึ่งพาส่วนประกอบจากจีน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษี 40% สำหรับสินค้า Transshipment และอาจจะต้องเพิ่มสัดส่วน Local Content เป็น 50-60%

- ส่งเสริมการใช้ Local Content: นโยบายและมาตรการจูงใจเพิ่มสัดส่วนการผลิตในประเทศ และเร่งพัฒนาให้สินค้าไทยมีคุณสมบัติเป็น "สินค้าไทยแท้ (สินค้าที่ติดตรา Product of Thailand)"

3.การกระจายตลาดส่งออก

- แสวงหาตลาดใหม่เพิ่มเติม: สหภาพยุโรป, ตะวันออกกลาง, ตลาดในภูมิภาค ASEAN และลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ

- ใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ: ใช้ประโยชน์จาก RCEP และ ATIGA (ASEAN Trade in Goods Agreement), เสริมสร้างการค้าภายในภูมิภาค และสร้างความยืดหยุ่นห่วงโซ่อุปทาน

4.การดึงดูดและรักษา FDI มูลค่าสูง

- เร่งออกมาตรการจูงใจ FDI: ปรับปรุงมาตรการจูงใจให้แข่งขันได้ และเน้นภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ยานยนต์ไฟฟ้า, เซมิคอนดักเตอร์, ดาต้าเซ็นเตอร์, เทคโนโลยีขั้นสูง

- ปรับปรุงสภาพแวดล้อมธุรกิจ: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, ปรับปรุงกฎระเบียบ และเพิ่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ

5.การส่งเสริมอุปสงค์ภายในประเทศ

- กระตุ้นเศรษฐกิจภายใน: มาตรการกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน, ชดเชยผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอ และเสริมสร้างความเชื่อมั่น

- แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง: แก้ไขหนี้ครัวเรือนที่สูง, พัฒนาภาคเกษตรกรรม และสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจระยะยาว

6.การติดตามและการดำเนินการทูตในเชิงรุก

- เฝ้าระวังและประเมินผล: จัดตั้งกลไกเพื่อติดตามผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และประเมินสถานการณ์ และปรับนโยบายอย่างทันท่วงที

- ดำเนินการทูตเพื่อการค้าในเชิงรุก: รักษาช่องทางสื่อสารกับสหรัฐฯ, เจรจากับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ และแสวงหาโอกาสปรับปรุงเงื่อนไขในข้อตกลงการค้าให้ดีขึ้น

สำหรับอัตราภาษีสหรัฐฯ ของไทยที่ 19% เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งทางการค้า มองว่าไทยไม่เสียเปรียบ ภาพรวมทั่วโลกประเทศอื่นๆ ยกเว้นจีนไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนมาก ดังนั้น การส่งออกของไทยไปประเทศต่าง ๆ ไม่ชะลอมาก ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันก็ไม่น่าชะลอลงเช่นกัน โดยมองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทยปีนี้ มีโอกาสแตะ 34 ล้านคนได้

สำหรับการวิเคราะห์สถานการณ์ (ประมาณการ ณ มิ.ย.68) ยังคงอยู่ในกรณีฐาน (Base Case) คือ Tariff ที่ระดับ 15-20%, ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน คลี่คลายได้เร็ว, ความตึงเครียดพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลายได้เร็ว, ประสิทธิผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเบิกจ่ายงบฯ ได้ 50% ในปี 2568, เสถียรภาพของรัฐบาล นายกฯ อยู่ตลอดปี 2568 ประเมิน GDP ที่ 1.7% (กรอบ 1.5-2.0%)

ทั้งนี้เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 1.5% แน่นอน เพราะยังเป็นไปตามเงื่อนไข Base Case ที่ Reciprocal Tariff อยู่ที่ 19% โดยขณะนี้ความตึงเครียดบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้เข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) แต่ยังไม่ทราบว่าการคลี่คลายจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ จะรวดเร็วแค่ไหน และด่านตามแนวชายแดนยังปิดหรือไม่ โดย ม.หอการค้าไทย ประเมินว่า ถ้ายังปิดการค้าชายแดนอยู่ มูลค่าการส่งออกจะหายไปเดือนละประมาณ 11,000 ล้านบาท ซึ่งในประเด็นนี้ยังอยู่ในสมมติฐานที่อาจคลี่คลายในเวลาเหมาะสม และไม่กระเทือนต่อเศรษฐกิจ สำหรับงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่ 1.57 แสนล้านบาท เชื่อว่ายังอยู่ในเกณฑ์ 50-75% เพราะยังไม่เห็นอัตราเร่งในการจ่าย

โดยในส่วนของเสถียรภาพทางการเมืองในกรณี Base Case คือไม่มีการยุบสภา ก่อนเข้าสู่งบประมาณแผ่นดินปี 2569 ซึ่งขณะนี้ แผนของสำนักงบประมาณ คือตั้งใจให้งบประมาณแผ่นดินเสร็จในวันที่ 15 ส.ค.นี้ มองว่าน่าจะผ่าน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินกรณีของนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 22 ส.ค.68 ดังนั้นยังเชื่อว่าการเมืองยังมีเสถียรภาพ ไม่มีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน สำหรับภาพการเมืองหลังจากนี้ ก็เชื่อว่าอยู่ในกลไกของกรอบประชาธิปไตย จึงไม่ได้มองประเด็นการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยง หากมีกรณีที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเร็ว งบกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมีเหตุการณ์พลิกผันในเชิงบวก ก็มองว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้ จะโตแตะ 2% ได้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก สยามรัฐ

‘SkillLane’ คว้า Prime Minister’s Digital Awards 2024 สาขา Digital Startup of the Year สะท้อนความสำเร็จในฐานะธุรกิจสตาร์ทอัพที่โดดเด่นด้านนวัตกรรม

22 นาทีที่แล้ว

เปิดแล้ว! “หนึ่ง นม นัว Signature” สัมผัสประสบการณ์ความนัวแห่งใหม่ พร้อมเมนูสุดพิเศษเฉพาะที่สาขาเมกาบางนา

26 นาทีที่แล้ว

กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ร่วมปันน้ำใจ มอบถุงยังชีพ ให้แก่ปชช.ทั่วไป และฝ่ายขายบริษัทฯ ที่ได้กระทบ จากเหตุปะทะชายแดนไทย- กัมพูชา

28 นาทีที่แล้ว

“เอชไอวี”ขยี้“กองทัพรัสเซีย”

31 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

ข่าวดี! พรุ่งนี้ น้ำมันลดราคา

สวพ.FM91

เอเซอร์xหมีเนย ปั้นอีเวนต์การตลาดสุดปัง!

เดลินิวส์

อัปเดต"ราคาน้ำมัน"เบนซินแก๊สโซฮอล์ พรุ่งนี้ปรับลง

ข่าวเวิร์คพอยท์ 23

อั้นไว้ก่อน! พรุ่งนี้น้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ปรับลด 40 สตางค์

MATICHON ONLINE

เมอร์เซเดส-เบนซ์ อีคิวอีลดสูงสุด3ล้าน

เดลินิวส์

ค่าเงินบาทกลับมาปิดตลาดวันที่ 5ส.ค.ที่ 32.42 บาทต่อดอลลาร์

ฐานเศรษฐกิจ

พรุ่งนี้! (6 ส.ค.68) ปรับลดราคาน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ 40 สต./ลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลราคาคงเดิม มีผลเวลา 05.00 น.

JS100 - Post&Share

อั้นไว้!พรุ่งนี้น้ำมันกลุ่มเบนซินโซฮอล์ลด 40สต.-คงดีเซล

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...