สหรัฐฯ ประกาศหยุดยิงซีเรีย-อิสราเอล เหตุปะทะชนเผ่าที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 700 ราย
สหรัฐฯ ได้เจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและรัฐบาลซีเรียแล้ว ขณะเกิดการปะทะครั้งใหม่ขึ้นในดินแดนดรูซของซีเรีย ต่อเนื่องความรุนแรงที่นำไปสู่การโจมตีอย่างหนักของอิสราเอล และการเสียชีวิตของผู้คนอย่างน้อย 718 ราย
นักรบชาวเบดูอินและพันธมิตรชนเผ่าต่าง ๆ เคลื่อนพลขณะรถยนต์ถูกไฟไหม้ที่ทางเข้าด้านตะวันตกของเขตสไวดา ศูนย์กลางของชาวดรูซในซีเรีย เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม (Photo by Bakr ALKASEM / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม 2568 กล่าวว่า ความรุนแรงของการปะทะระหว่างชาวดรูซและชาวเบดูอินในซีเรียตั้งแต่วันอาทิตย์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสมแล้วอย่างน้อย 718 ราย
เมื่อวันพุธ อิสราเอลได้เข้าแทรกแซงด้วยการโจมตีครั้งใหญ่ในใจกลางเมืองดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย รวมถึงการโจมตีกองบัญชาการกองทัพ
ทอม บาร์รัค ผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯ ประจำซีเรียกล่าวเมื่อเช้าตรู่ของวันเสาร์ในตะวันออกกลางว่า อาห์เหม็ด อัล-ชารา ผู้นำรักษาการของซีเรียและนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ได้ตกลงที่จะหยุดยิง
บารัคซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงอังการา กล่าวว่าข้อตกลงนี้ได้รับการสนับสนุนจากตุรเคียซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของชีเรีย และประเทศเพื่อนบ้านอย่างจอร์แดน
"เราขอเรียกร้องให้ชาวดรูซ, ชาวเบดูอิน และชาวซุนนี ยุติการสู้รบและร่วมมือกับชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ในการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของซีเรียให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างสันติและเจริญรุ่งเรืองร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน" บารัคกล่าวผ่านโซเชียลมีเดีย
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้ประกาศข้อตกลงหนึ่งก่อนหน้านี้และอัล-ชาราได้ถอนกำลังรัฐบาลออกจากสไวดาซึ่งเป็นศูนย์กลางทางตอนใต้ของชนกลุ่มน้อยชาวดรูซ
อัล-ชารากล่าวว่าการไกล่เกลี่ยนี้ช่วยป้องกันการยกระดับความรุนแรงครั้งใหญ่กับอิสราเอล แต่สำนักงานของเขากล่าวหาว่านักรบชาวดรูซเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลง
สำนักงานของอัล-ชาราให้คำมั่นในเย็นวันศุกร์ว่าจะส่งกำลังพลชุดใหม่ไปยังภูมิภาคเพื่อสลายการปะทะเพิ่มเติมในภาคใต้ โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจและให้ความสำคัญกับเหตุผล
ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เกิดการสู้รบขึ้นอีกครั้งในวันศุกร์ ระหว่างกลุ่มชนเผ่าเบดูอินและชาวดรูซที่ทางเข้าเมืองสไวดา
นักรบชนเผ่าประมาณ 200 คนปะทะกับชาวดรูซติดอาวุธโดยใช้ปืนกลและกระสุนปืน ขณะที่หอสังเกตการณ์ซีเรียรายงานว่ามีการต่อสู้และการยิงปืนใหญ่ใส่ชุมชนต่างๆ ในเมืองสไวดา
แพทย์และพยาบาลกำลังทำงานหนักเพื่อรักษาผู้ที่บาดเจ็บจากการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลิ่นเหม็นโชยออกมาจากแผลเน่าตามร่างกายซึ่งกองรวมกันอยู่ตามทางเดินของโรงพยาบาลแห่งชาติสไวดา
โอมาร์ โอเบด แพทย์ประจำโรงพยาบาลกล่าวว่า โรงพยาบาลแห่งนี้ได้รับศพมากกว่า 400 ศพแล้ว นับตั้งแต่เช้าวันจันทร์
"ไม่มีที่ว่างในห้องเก็บศพแล้ว ศพต่อจากนี้ต้องถูกวางทิ้งไว้บนถนนหน้าโรงพยาบาล" โอเบดกล่าวเสริม
องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานแห่งสหประชาชาติระบุเมื่อวันศุกร์ว่ามีผู้พลัดถิ่น 79,339 คนนับตั้งแต่วันอาทิตย์ รวมถึง 20,019 คนในวันพฤหัสบดีเพียงวันเดียว
กองกำลังเสริมของชนเผ่าจากทั่วซีเรียได้รวมตัวกันในหมู่บ้านรอบสไวดาเมื่อวันศุกร์เพื่อเสริมกำลังให้กับชาวเบดูอินในท้องถิ่นซึ่งเป็นศัตรูกับชาวดรูซมาอย่างยาวนานจนปะทุความรุนแรงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
อะนัส อัล-เอนาด หัวหน้าเผ่าจากเมืองฮามาทางตอนกลาง กล่าวว่า เขาและลูกน้องได้เดินทางไปยังหมู่บ้านวัลกา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสไวดา เพราะชาวเบดูอินร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขา
ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีรายงานข่าวบ้านเรือนและร้านค้าที่ถูกไฟไหม้ในหมู่บ้าน ซึ่งขณะนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของชาวเบดูอินและพันธมิตร
อิสราเอลซึ่งมีชุมชนชาวดรูซขนาดใหญ่เป็นของตนเอง ระบุเมื่อวันศุกร์ว่า ได้ส่งความช่วยเหลือมูลค่าเกือบ 600,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงอาหารและเวชภัณฑ์ ให้แก่ชาวดรูซในสไวดา
อิสราเอลให้คำมั่นว่าจะปกป้องชุมชนชาวดรูซ แม้ว่านักการทูตและนักวิเคราะห์บางคนจะกล่าวว่า เป้าหมายของอิสราเอลคือการทำให้กองทัพในซีเรียซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตในอดีต อ่อนแอลง โดยมองว่ากองทัพอยู่ในจุดที่อ่อนแอนับตั้งแต่กลุ่มอิสลามนิกายซุนนีของอัล-ชาราโค่นล้มบาชาร์ อัล-อัสซาด อดีตผู้นำซึ่งเป็นพันธมิตรของอิหร่าน ในเดือนธันวาคม
โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้ยุติการนองเลือด และดำเนินการสอบสวนการละเมิดทั้งหมดอย่างเป็นอิสระ, รวดเร็ว และโปร่งใส
คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศเตือนว่าสถานพยาบาลมีผู้ป่วยล้นเกิน และภาวะไฟฟ้าดับเป็นอุปสรรคต่อการเก็บรักษาศพในห้องดับจิต
สเตฟาน ซาคาเลียน หัวหน้าคณะผู้แทน ICRC ในซีเรีย กล่าวว่า "สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในสไวดาอยู่ในภาวะวิกฤต ผู้คนกำลังขาดแคลนทุกสิ่ง"
เขากล่าวว่า "โรงพยาบาลกำลังประสบปัญหาในการรักษาผู้บาดเจ็บและผู้ป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ และครอบครัวไม่สามารถฝังศพคนที่พวกเขารักได้อย่างมีศักดิ์ศรี"
ทั้งนี้ ความรุนแรงครั้งล่าสุดปะทุขึ้นหลังจากการลักพาตัวพ่อค้าผักชาวดรูซโดยชาวเบดูอินในท้องถิ่น จนก่อให้เกิดการลักพาตัวตอบโต้กัน และสถานการณ์บานปลาย.