ศูนย์วิจัยกสิกร ชี้ กนง. หั่นดบ. ช่วยลดภาระลูกหนี้ 2 กลุ่ม แต่ไม่แก้ปัญหาแท้จริง แนะรัฐ ต้องทำให้ศก.เอื้ออำนวย
ศูนย์วิจัยกสิกร ชี้ กนง. หั่นดบ.ไม่ช้าเกิน ช่วยลดภาระลูกหนี้ 2 กลุ่ม แต่ไม่แก้ปัญหาแท้จริง แนะรัฐ ต้องทำให้ศก.เอื้ออำนวย
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.50% ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ถือว่าเป็นจังหวะที่ไม่ได้ล่าช้าเกินไป เพราะมองในอนาคตเห็นชัดแล้วว่ามีความไม่แน่นอนรออยู่เยอะ ทั้งยังเผชิญผลกระทบการปรับขึ้นภาษีสหรัฐเพิ่มเติม ทำให้ช่องว่างนโยบายการเงิน (policy space) หรือกระสุนในการลดดอกเบี้ยมีอยู่อย่างจำกัด ในช่วงการเริ่มต้นครึ่งหลังของปี 2568 จึงถือว่ามีความเหมาะสมในการปรับลดดอกเบี้ยลงมา โดยประเมินจากข้อมูลการลดดอกเบี้ยจะช่วยคน 2 กลุ่มหลัก คือ 1.รายย่อยที่มีหนี้บ้าน หรือสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นบ้าน และ 2.ธุรกิจ ซึ่ง 2 กลุ่มนี้รวมกันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของสินเชื่อรวม คิดเป็นมูลค่าเม็ดเงินประมาณ 7,000 ล้านบาท
“การลดดอกเบี้ยจะช่วยเรื่องการตกชั้นของลูกหนี้ไม่ให้กลายเป็นเอ็นพีแอลได้มากน้อยเท่าใดนั้น ต้องบอกว่าเป็นการบรรเทาภาระต้นทุนมากกว่า เพราะหากธุรกิจ อาทิ เอสเอ็มอี มีปัญหามาจากการทำธุรกิจที่รายได้ลดลง หรือรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในด้านต่างๆ การลดดอกเบี้ยลงก็เป็นเพียงการยืดหนี้ออกไปแทน ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ต้องอาศัยเงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ มีความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว” นางสาวธัญญลักษณ์ กล่าว
นางสาวธัญญลักษณ์ กล่าวว่า ในไตรมาส 2/2568 ภาพรวมหนี้เสียของระบบธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง มีหนี้เสียหรือเอ็นพีแอลขยับสูงขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่หากเจาะลึกฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ซึ่งเป็นข้อมูลไตรมาส 1/2568 พบว่า แม้ทิศทางหนี้ที่มีปัญหา (Stage 2 และ Stage 3) จะทรงตัวจากช่วงปลายปี 2567 แต่ก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2/2566 ซึ่งเป็นช่วง 1 ปีนับจากมีการเปิดประเทศหลังโควิด ทั้งยังลูกค้าธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งมีปัญหาหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นชัดกว่ากลุ่มอื่น โดยในกลุ่มซูเปอร์ไมโคร เอ็นพีแอลมีสัดส่วนสูงถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม ตามมาด้วยกลุ่มไมโคร ที่ 12.11% และกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ที่ 9.75% ส่วนกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง 6.51% และขนาดใหญ่ 1.37% โดยตั้งแต่ตอนนี้ถึงสิ้นปี 2568 ธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ จะยังไม่พบการเป็นเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ
นายกฤษฏิ์ แก้วหิรัญ นักวิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลคุณภาพหนี้จำแนกตามประเภทธุรกิจพบว่า ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อของตลาดในและต่างประเทศ อาทิ ภาคการผลิตและกลุ่มที่พักแรม ความน่ากังวลจะอยู่ที่ธุรกิจขนาดกลางที่มีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 30 วันขึ้นไป อยู่ในระดับสูงที่สุด ส่วนที่เป็นธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็ก-ย่อย เริ่มเห็นภาพหนี้ค้างชำระที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อของตลาดในประเทศ อาทิ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก คุณภาพหนี้ที่ด้อยลงในกลุ่มเอสเอ็มอีรายเล็ก-ย่อยในช่วงก่อนหน้านี้ ได้ขยายมาสู่ธุรกิจขนาดกลางมากขึ้น ส่วนธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ภาพลบจะขยายมาถึงธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งจากผลของการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบการส่งออก และภาพกำลังซื้อในประเทศที่ซบเซา อาจทำให้แนวโน้มความสามารถในการชำระหนี้ของประเภทธุรกิจต่างๆ มีโอกาสถดถอยลงอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ทางการไทยควรจัดวางมาตรการดูแลหนี้ให้เหมาะสมกับลักษณะการชำระหนี้ของแต่ละกลุ่มลูกค้า โดยอาจเพิ่มนโยบายสนับสนุนการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ชั่วคราวให้กับลูกค้าปกติที่ยังไม่ผิดนัดชำระหนี้และเล็งเห็นปัญหาของธุรกิจตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงอาจเตรียมทำโครงการ Asset Warehousing รอบใหม่ ถือเป็นมาตรการเชิงรุกก่อนที่ลูกหนี้จะกลายเป็นเอ็นพีแอล ขณะที่ เมื่อลูกหนี้กลายเป็นเอ็นพีแอลแล้ว สิ่งที่ควรทำคือส่งเสริมกระบวนการนอกศาล (Out-of-Court Workouts) อาทิ ตีโอนทรัพย์จบหนี้ โดยทางการสามารถช่วยสนับสนุนผ่านการลดค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องได้ อย่างค่าธรรมเนียมการโอนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้างและที่ดิน
นางสาวกาญจนา กล่าวว่า นอกจากนี้ เนื่องจากเมื่อลูกหนี้มีวันค้างชำระนานขึ้น โอกาสจะตกชั้นลึกลงย่อมมีมากกว่าการฟื้นคืนชีพมาเป็นหนี้ดี ดังนั้น หากกระบวนการทางกฎหมายมีระยะเวลาพิจารณาคดีทางกฎหมายที่เร็วขึ้น ก็น่าจะช่วยให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้เห็นความชัดเจนเร็วขึ้น ลูกหนี้จะได้เริ่มธุรกิจใหม่เร็วขึ้นด้วย รวมถึงควรเพิ่มทางเลือกให้ลูกหนี้ผ่อนสินทรัพย์รอการขายของตนเองได้เป็นลำดับแรก ๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้กับลูกหนี้ที่ฟื้นฟูตัวเองได้ไว สามารถกลับมาเป็นเจ้าของทรัพย์เดิมได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แนวทางแก้หนี้ต่าง ๆ ดังกล่าว เป็นการฟื้นฟูธุรกิจเฉพาะหน้าเท่านั้น การแก้วังวนของปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจที่ถาวรขึ้น ต้องอาศัยเงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ มีความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว จึงจะเป็นการจัดการอย่างยั่งยืนแท้จริง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ศูนย์วิจัยกสิกร ชี้ กนง. หั่นดบ. ช่วยลดภาระลูกหนี้ 2 กลุ่ม แต่ไม่แก้ปัญหาแท้จริง แนะรัฐ ต้องทำให้ศก.เอื้ออำนวย
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th