เสพติดหนี้ทั่วโลก! 'อังกฤษ' ขาดดุลลด แต่ดอกเบี้ยหนี้พุ่ง 4 หมื่นล้าน
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า รัฐบาลอังกฤษขาดดุลงบประมาณในเดือน ก.ค. ต่ำที่สุดในรอบสามปีเนื่องจากประชาชนเร่งจ่ายภาษีเงินได้ที่ประเมินด้วยตัวเอง (self-assessed income tax) ในช่วงใกล้สิ้นสุดช่วงเวลาการยื่นภาษี ทำให้นางราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหราชอาณาจักรโล่งใจในระยะสั้น
ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร (Office for National Statistics) เปิดเผยในวันนี้ว่า รายจ่ายรัฐบาลขยายตัวเกินรายได้ที่ 1,100 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ปีที่แล้วรายจ่ายมากกว่ารายได้ถึง 3,400 ล้านปอนด์ ตัวเลขทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกู้เงินน้อยลงจากปีก่อนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน พ.ย. ปีที่แล้ว และเป็นยอดกู้เงินในเดือน ก.ค. ที่น้อยที่สุดในรอบ 3 ปี
ในช่วงสี่เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน ยอดขาดดุลงบฯ ของรัฐบาลสหราชอาณาจักรอยู่ที่ 60,000 ล้านปอนด์ ซึ่งเทียบเท่ากับคาดการณ์ ณ เดือนมี.ค. ของสำนักงานการคลังอิสระ (Office for Budget Responsibility) ที่ 59,000 ล้านปอนด์
อย่างไรก็ตาม ยอดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มลดลงมากกว่านี้ได้อีกหากไม่มีแรงกดดันจากภาระหนี้จากดอกเบี้ยจ่ายของรัฐบาลที่ไปกู้ยืมเงินมาในช่วงก่อนหน้าซึ่งสูงถึง 41,400 ล้านปอนด์ในช่วงเดือน เม.ย. - ก.ค.
บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า เดือนก.ค. ถือเป็นหนึ่งในเดือนที่ดีที่สุดสำหรับงบประมาณรัฐบาลสหราชอาณาจักรเนื่องจากประชาชนและบรรดาธุรกิจจ่ายภาษีเงินได้ที่ประเมินด้วยตัวเองเป็นครั้งที่สองสำหรับปีงบประมาณที่กำลังจะจบลง อย่างไรก็ตาม ภาพการคลังที่ดีขึ้นระยะสั้นนี้อาจทำให้ประชาชนหลายคนหลงประเด็นที่ว่ารัฐบาลจากพรรคแรงงานก็ยังต้องแบกภาระหนี้และการขาดดุลมหาศาลอยู่เช่นเดิมในภาพใหญ่
สำนักงานสถิติแถลงตัวเลขดังกล่าวออกมาท่ามกลางการคาดการณ์ว่ารีฟส์กำลังเตรียมขึ้นภาษีในช่วงการจัดทำงบช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงอยู่หรือไม่เนื่องจากรัฐบาลของเธอกำลังเผชิญกับการขาดดุลเงินประมาณที่คาดว่าจะสูงถึง 51,000 ล้านปอนด์ ตามการวิจัยล่าสุดของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (National Institute of Economic and Social Research หรือ NIESR) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยอิสระด้านเศรษฐกิจแห่งแรกของอังกฤษ
ขาดดุลลด แต่รายจ่ายยังพุ่ง แถมบอนด์ยีลด์ทะยาน
การยกเลิกข้อเสนอลดการจ่ายสวัสดิการทำให้รัฐบาลยังต้องแบกรับภาระถึง 5,000 ล้านปอนด์ ขณะที่สำนักงานการคลังอิสระอย่างโอบีอาร์ซึ่งเป็นองค์กรที่คอยตรวจสอบและจับตาการใช้งบประมาณของรัฐบาลคาดว่าจะปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ที่เพิ่มสูงขึ้นมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ประจำปีที่อยู่ที่มากกว่า 100,000 ล้านปอนด์แล้ว หรือคิดง่ายๆ คือ ทุกๆ 12 ปอนด์ที่เป็นรายจ่ายของรัฐบาล 1 ปอนด์คือจำนวนเงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า รีฟส์อยู่ในสภาวะหนีเสือปะจระเข้จากการที่ไม่สามารถกู้ยืมเงินเพิ่มได้เพราะกังวลตลาดบอนด์จะลงโทษกับอีกขาหนึ่งคือสมาชิกพรรคแรงงานที่ต่อต้านการลดค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ ตามปกติแล้วในสหราชอาณาจักรเกณฑ์ในการเสียภาษีจะปรับขึ้นทุกปีตามเงินเฟ้อ กลไกนี้เรียกว่าการทำ “tax thresholds” อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้มีข้อเสียตรงที่จะทำให้คนเสียภาษีอาจน้อยลงเพราะหมายถึงเกณฑ์ในการต้องจ่ายภาษีจะสูงขึ้น ตอนนี้รีฟส์อยู่ภายใต้แรงกดดันจากหลายฝ่ายให้แช่แข็งการทำ tax thresholds ออกไปก่อนเพราะต้องการให้มีจำนวนคนเสียภาษีเพิ่มสูงขึ้นจากการที่เงินเดือนประชาชนสูงขึ้นจากการปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ นั้นก็จะทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีสูงขึ้นตามไป
มากไปกว่านั้นเธอยังเผชิญกับแรงกดดันให้เก็บภาษีจากการขายบ้านที่มีราคาสูงของครอบครัว (high-value family homes) เพื่อให้เป็นไปตามกฎการคลัง 'เหล็กกล้า' หรือ “iron-clad” fiscal rules ที่เธอเคยประกาศไว้ กฎนี้กำหนดให้รายจ่ายประจำของรัฐบาลและรายรับต้องสมดุลภายในสิ้นทศวรรษนี้
สหราชอาณาจักรคือตัวอย่างหนึ่งของการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลจนรัฐบาลต้องกู้ยืมเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย รวมทั้งญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา หรือแม้กระทั่งประเทศไทยก็เผชิฐสภาวะดังกล่าวเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างกันคือแม้รัฐบาลไทยจะขาดดุลมหาศาลกว่า 3% ของจีพีดีโดยเฉลี่ยแต่เศรษฐกิจไทยกลับไม่เติบโตเหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ
อ้างอิง: Bloomberg