กองทัพภาค 1 ปัดข่าวรื้อลวดหนามชายแดน ยันแค่ข้อเสนอฝ่ายกัมพูชา
กองทัพภาคที่ 1 ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดกรณีเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ของภูมิภาคทหารที่ 5 กัมพูชา ซึ่งระบุว่าผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) สมัยวิสามัญ มีการตกลงที่จะรื้อถอนเครื่องกีดขวางชายแดน เช่น ลวดหนาม ยางรถยนต์ และสิ่งกีดขวางอื่นๆ โดยอ้างว่าเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่
กองทัพภาคที่ 1 ยืนยันว่า ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงคำกล่าวของรองผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกข้อตกลงการประชุมร่วมกันของทั้งสองฝ่าย โดย พล.ท.อมฤต บุญสุยา ผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 1 ในฐานะประธานร่วมการประชุมฯ ฝ่ายไทย ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าประเด็นดังกล่าว ไม่ได้อยู่ในเอกสารข้อตกลง และจำเป็นต้องส่งต่อไปให้คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) พิจารณาหารือในระดับนโยบายต่อไป
กต.แจงบ้านหนองจาน กัมพูชาละเมิด MOU ปี 2543
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงย้ำว่า กรณีพื้นที่บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ฝ่ายกัมพูชาได้ขยายชุมชนล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย ถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ระหว่างไทย–กัมพูชา ปี 2543 โดยฝ่ายไทยได้คัดค้านและยื่นประท้วงมาโดยตลอด แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายกัมพูชา
อธิบดีกรมสารนิเทศระบุว่า เดิมพื้นที่บ้านหนองจานถูกใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชาที่อพยพหนีภัยจากการสู้รบเข้ามาในประเทศไทย แต่ภายหลังฝ่ายกัมพูชาได้ขยายการตั้งถิ่นฐานออกไปจนล่วงล้ำแนวเขตแดน ซึ่งประเทศไทยยืนยันไม่เคยยอมรับการกระทำดังกล่าว
สำหรับการวางลวดหนามในเขตแดนไทยนั้น นาย นิกรเดช ยืนยันว่า เป็นมาตรการเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย ดูแลความปลอดภัยของประชาชน และป้องกันการเข้ามาวางทุ่นระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา โดยการดำเนินการนี้ไม่ขัดต่อข้อตกลงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย–กัมพูชา สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันว่าจะละเว้นจากการก่อสร้างหรือเสริมความมั่นคงนอกเขตที่ตั้งทางทหารของตน
ด้านนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กล่าวเสริมว่า พื้นที่บ้านหนองจานตั้งอยู่ระหว่างหลักเขตแดนที่ 46 – 47 ตามแนวเขตที่ยึดโยงกับสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นตรงชัดเจน ไทยจึงยืนยันสิทธิในพื้นที่ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ