ปูตินคว้าชัยบนโต๊ะเจรจาอลาสกา กำหนดทิศสันติภาพยูเครน แต่ยังไม่ได้ทุกสิ่งที่หวัง
การประชุมสุดยอดที่อลาสกากลายเป็นเวทีที่วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย สามารถสร้างชัยชนะเชิงภูมิรัฐศาสตร์สำคัญได้หลายประการ หลังจากโน้มน้าวให้โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปลี่ยนท่าทีจากการผลักดันหยุดยิงในยูเครน ไปสู่การมุ่งตรงสู่การทำข้อตกลงสันติภาพตามแนวทางที่รัสเซียต้องการ
ก่อนการประชุม ทรัมป์ยืนยันว่าต้องการหยุดยิงอย่างรวดเร็ว และถึงขั้นขู่ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียและจีน ซึ่งเป็นผู้ซื้อพลังงานรายใหญ่ของรัสเซีย แต่หลังการหารือกลับพลิกผัน โดยทรัมป์เห็นพ้องกับปูตินว่า ควรไปสู่การเจรจาข้อตกลงสันติภาพโดยตรง แทนที่จะเสียเวลาในขั้นตอนหยุดยิง ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ และเป็นไปตามที่มอสโกต้องการ
นอกเหนือจากสาระของการเจรจาแล้ว สัญลักษณ์ทางการทูตก็ถูกจับตามองไม่แพ้กัน สื่อรัสเซียรายงานอย่างภาคภูมิใจถึงการต้อนรับที่อลังการ ตั้งแต่การแสดงบินผ่านทางทหาร พรมแดง ไปจนถึงการที่ทรัมป์ยอมให้ปูตินโดยสารรถยนต์ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ร่วมกัน ซึ่งกลายเป็นภาพสะท้อนว่ารัสเซียกลับมามีบทบาทบนเวทีโลก หลังจากถูกพยายามกีดกันจากตะวันตกตลอดหลายปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ปูตินยังไม่ได้ทุกสิ่งที่ต้องการ เพราะแม้จะชะลอมาตรการคว่ำบาตรได้ชั่วคราว แต่ทรัมป์ยืนยันว่าอาจต้องกลับมาทบทวนการใช้มาตรการกับจีนในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า และที่สำคัญคือยังไม่มีการ “รีเซ็ตเศรษฐกิจ” อย่างที่ปูตินหวังไว้ การเจรจาด้านการค้า พลังงาน อวกาศ และเทคโนโลยี ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างจริงจัง เนื่องจากทรัมป์ย้ำว่า ธุรกิจใด ๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสงครามยูเครนยุติลงก่อน
อีกประเด็นสำคัญคือ การเจรจาไม่ได้หมายถึงการ “ขายชาติยูเครน” ตามที่หลายฝ่ายกังวล แม้ทรัมป์แสดงความพร้อมหารือเรื่องการรับประกันความมั่นคงและแนวทางจัดการเขตดอนบาส แต่ก็ยังคงโยนภาระการตัดสินใจไว้ที่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ซึ่งเตรียมเดินทางไปวอชิงตันเร็ว ๆ นี้ ทรัมป์ยังคงกดดันให้ยูเครนต้องยอมเจรจา โดยชี้ว่า “รัสเซียเป็นมหาอำนาจ และยูเครนไม่ใช่”
ด้านสนามรบ ขณะนี้กองทัพรัสเซียยังคงรุกคืบในภูมิภาคดอนบาส โดยเฉพาะดอนเนตสค์และลูฮานสค์ ซึ่งปูตินประกาศชัดว่าต้องการยึดครองทั้งหมด แม้จะยอมเสนอ “ตรึงแนวรบ” บางพื้นที่ในซาโปริชเชียและเคอร์ซอน หากยูเครนยอมถอนกำลังจากดอนบาส แต่เซเลนสกีได้ปฏิเสธข้อเสนอไปแล้ว
แม้ผลลัพธ์ในครั้งนี้จะถูกมองว่าปูตินสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาอยู่ในเกมได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจที่เผชิญแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรและความเสี่ยงภายในประเทศ นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่าแม้รัสเซียจะสร้างภาพลักษณ์ว่าประสบความสำเร็จ แต่เมื่อยังต้องเผชิญสงครามที่ยืดเยื้อและเศรษฐกิจที่เปราะบาง ผลประโยชน์ที่ปูตินได้มาอาจเป็นเพียง “ชัยชนะชั่วคราว” เท่านั้น