"ตรวจเพศนักกีฬา" แข่งขันยุติธรรมหรือทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ?
เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2568 วงการวอลเลย์บอลโลกต้องเผชิญกับข้อถกเถียงครั้งใหม่ หลังจาก FIVB ได้ประกาศตัดสิทธิ์นักกีฬาจากทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติ U21 เวียดนาม จากการแข่งขัน FIVB Women’s U21 World Championship ที่อินโดนีเซีย การตัดสินใจดังกล่าวทำให้เวียดนาม ซึ่งก่อนหน้านี้มีลุ้นเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ต้องหล่นไปเล่นในรอบจัดอันดับที่ 17-25 แทน
แม้ FIVB จะระบุเพียงว่านักกีฬาเวียดนาม "ไม่มีสิทธิ์ลงแข่งขัน" ภายใต้ข้อบังคับทางวินัยมาตรา 12.2 ปี 2566 โดยไม่ได้ระบุเจาะจงถึงสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ การใช้สารกระตุ้น หรือปัญหาเอกสาร อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวในภายหลังว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบว่านักกีฬามี "โครโมโซมเพศชาย" ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อบังคับ ด้วยเหตุนี้ การแข่งขันทุกนัดที่เวียดนามชนะโดยมีนักกีฬาที่ไม่มีสิทธิ์ลงแข่งขันร่วมด้วย จึงถูกปรับให้เป็นฝ่ายแพ้ทั้งหมด
เหตุการณ์นี้ยังถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมการวินัยของ FIVB เพื่อพิจารณามาตรการลงโทษเพิ่มเติม ซึ่งอาจขยายผลเกินกว่าการแข่งขันชิงแชมป์ครั้งปัจจุบัน
ทางด้านสมาพันธ์วอลเลย์บอลเวียดนาม (VFV) ออกมาตอบโต้ทันควัน โดยยืนยันว่านักกีฬาของพวกเขาได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของ FIVB อย่างครบถ้วน และขั้นตอนการลงทะเบียนทั้งหมดได้ดำเนินการและได้รับการอนุมัติอย่างถูกต้อง VFV อ้างว่าการตัดสิทธิ์เกิดจาก "การร้องขอเอกสารและเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ไม่เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้" และมองว่าการตัดสินนี้ไม่เป็นธรรม
ขณะนี้ VFV ได้เริ่มกระบวนการยื่นอุทธรณ์อย่างเป็นทางการ และประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อปกป้องสิทธิ์ของนักกีฬาและเกียรติยศของวงการวอลเลย์บอลเวียดนาม
อ่านข่าว : เวียดนามยื่นอุทธรณ์ FIVB ยันนักตบลูกยางสาว U21 คุณสมบัติผ่าน
"เหงียน ถิ บิช เตวียน" นักตบลูกยางผู้ถูกจับตาเรื่องเพศ
กรณีของนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง ทีมชาติเวียดนาม รุ่น U21 ที่ถูกตัดสิทธิ์จาก FIVB รูปร่างที่กำยำและพละกำลังในการกระโดดที่โดดเด่นของเธอ ได้ถูกจับตามองจากแฟนวอลเลย์บอลทั่วโลกมานานแล้ว ข้อถกเถียงนี้ได้นำไปสู่คำถามเกี่ยวกับนักกีฬาคนอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหงียน ถิ บิช เตวียน (Nguyen Thi Bich Tuyen) หรือ "ตู้เย็น" ชื่อที่แฟนกีฬาชาวไทยเรียกเธอ ผู้เล่นคนสำคัญที่เคยนำเวียดนามชนะไทยในการแข่งขัน SEA V.League ครั้งล่าสุด
"ตู้เย็น" เป็นประเด็นถกเถียงอย่างต่อเนื่องในโลกออนไลน์ โดยมีรายงานว่าเธอ "หลีกเลี่ยงการตรวจสอบเพศมาโดยตลอด" แฟน ๆ ตั้งข้อสังเกตจากรูปร่างหน้าตา สไตล์การแต่งตัวที่ออกไปทางผู้ชาย เช่น การใส่กางเกงขาสั้นผู้ชายลงเล่น และการที่เธอ "มักจะป่วย" ทุกครั้งที่มีการแข่งขันระดับนานาชาติที่อาจมีการตรวจสอบเพศ
เธอยังเคยปฏิเสธข้อเสนอการคัดตัวในเกาหลีและทุนการศึกษาในสหรัฐฯ สิ่งเหล่านี้สร้างความสงสัยอย่างกว้างขวาง โดยมีผู้เรียกร้องให้มีการตรวจเพศเธอเพื่อพิสูจน์ความจริง
เหงียน ถิ บิช เตวียน Nguyen Thi Bich Tuyen นักวอลเลย์บอลเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม แฟนเวียดนามบางคนและคนใกล้ชิดยืนยันว่าเธอเป็นผู้หญิง โดยอธิบายว่าเธอเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศและเป็นผู้เล่นตัวท็อปของประเทศ การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของเธอนั้นมาจากทรงผมที่สั้นลงและสไตล์ทอมบอย รวมถึงอาจมีภาวะฮอร์โมนผิดปกติ สิ่งสำคัญคือ ในการแข่งขัน AVC Women's Challenge Cup 2024 ซึ่งไม่มีการบังคับตรวจเพศ เธอสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม สมาคมวอลเลย์บอลเกาหลี เคยขอเอกสารเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์เพศของเธอ เนื่องจากข้อถกเถียง และเธอก็ "ยื่นเอกสารนั้นแล้ว" กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและแรงกดดันที่นักกีฬาต้องเผชิญเมื่อถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเพศของตนเอง
ประวัติศาสตร์การตรวจเพศในกีฬาโลก
Sex verification in sports ให้ข้อมูลว่า การตรวจสอบเพศในกีฬา หรือที่เรียกว่า "การยืนยันเพศ" มีมานานกว่า 100 ปี โดยเริ่มขึ้นในช่วงทศวรรษ 1940 ด้วย "ใบรับรองความเป็นหญิง" จากแพทย์ จากนั้นก็พัฒนาเป็นการตรวจสอบทางกายภาพ เช่น "ขบวนเปลือย" (Nude parade) ที่นักกีฬาหญิงถูกขอให้เดินเปลือยกายต่อหน้าคณะแพทย์ ทำให้พวกเธอรู้สึกอับอายและถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ หลังจากนั้นก็พัฒนาเป็นการตรวจโครโมโซม และต่อมาเป็นการตรวจระดับฮอร์โมน
จุดประสงค์หลัก เพื่อให้แน่ใจว่านักกีฬาจะแข่งขันในประเภทที่เหมาะสม แต่ส่วนใหญ่กลับนำไปสู่การกีดกันนักกีฬาที่มีภาวะเพศกำกวม (Intersex) ออกจากการแข่งขันประเภทหญิง
ความกังวลเรื่อง "ความเป็นหญิงที่ไม่แท้จริง" ของนักกีฬาหญิงทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นในกีฬาที่เคยถูกมองว่าเป็น "กีฬาผู้ชาย"
ในช่วงปี 1958 - 1992 การตรวจโครโมโซมกลายเป็นสิ่งบังคับสำหรับนักกีฬาหญิงทุกคนในการแข่งขันของสหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ หรือ IAAF และ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล IOC การตรวจที่เรียกว่า Barr body test ทำโดยการเก็บตัวอย่างจากกระพุ้งแก้มเพื่อหาหลักฐานของโครโมโซม XX ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นเพศหญิง นักกีฬาที่ผ่านการทดสอบจะได้รับ "ใบรับรองความเป็นหญิง"
อย่างไรก็ตาม การตรวจโครโมโซมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักวิทยาศาสตร์หลายคน โดยโต้แย้งว่าการทดสอบ Barr body ไม่ได้พิจารณาคุณลักษณะทางเพศอื่น ๆ เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ รูปร่าง และจิตใจ ประเด็นสำคัญคือ โครโมโซม Y ไม่ได้บ่งบอกถึงความได้เปรียบในการแข่งขันเสมอไป หากไม่มีคุณลักษณะ "ความเป็นชาย" ที่ให้พละกำลังหรือความแข็งแรงมากขึ้น
กรณีของมาเรีย โฮเซ มาร์ติเนซ-ปาติโญ (Maria José Martínez-Patiño) นักวิ่งชาวสเปน ที่ถูกตัดสิทธิ์ในปี 1985 หลังตรวจไม่ผ่าน ทั้งที่เคยผ่านการตรวจมาก่อนหน้า ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เธอต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของเธอ และการรณรงค์ของเธอนำไปสู่ การยกเลิกการตรวจยืนยันเพศด้วยโครโมโซม IAAF ยุติการตรวจคัดกรองเพศสำหรับนักกีฬาทุกคนในปี 1992 และ IOC ก็ลงมติยุติการปฏิบัติในปี 1999 โดยการตรวจโครโมโซมถูกทำเป็นครั้งสุดท้ายในการแข่งขันโอลิมปิกที่แอตแลนตาในปี 1996
มาเรีย โฮเซ มาร์ติเนซ-ปาติโญ Maria José Martínez-Patiño นักวิ่งชาวสเปน
หลังจากนั้น แนวปฏิบัติได้เปลี่ยนไปสู่ การตรวจฮอร์โมน โดยเฉพาะระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) กรณีของ แคสเตอร์ เซเมนยา (Caster Semenya) นักวิ่งชาวแอฟริกาใต้ ในปี 2009 เป็นตัวอย่างสำคัญที่นำไปสู่การนำกฎการทดสอบเทสโทสเตอโรนมาใช้เพื่อระบุภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสูงในนักกีฬาหญิง หรือ Hyperandrogenism
แคสเตอร์ เซเมนยา Caster Semenya นักวิ่งชาวแอฟริกาใต้
ผลกระทบทางจริยธรรมและสิทธิมนุษยชน
บทความทางการแพทย์ Is there a right not to know one's sex? The ethics of ‘gender verification’ in women's sports competition ระบุว่าการตรวจเพศนักกีฬาได้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อบุคคลมาโดยตลอด มีกรณีที่นักกีฬาถูกตัดสิทธิ์อย่างไม่ยุติธรรม, เผชิญกับวิกฤตอัตลักษณ์ทางเพศ, ถูกมองในแง่ลบ, โดดเดี่ยวทางสังคม, เป็นโรคซึมเศร้า และถึงขั้นจบชีวิตตัวเอง
กรณีของ แอนเน็ตต์ เนเกซา (Annet Negesa) นักวิ่งหญิงชาวอูกันดา ที่ถูกตรวจพบความผิดปกติทางพัฒนาการทางเพศแบบ XY และมี ระดับ เทสโทสเตอโรน สูง เธอต้องเผชิญกับแรงกดดันให้ต้องแข่งขันวิ่งต่อ และบังคับให้ผ่าตัดเอาอัณฑะออก โดยที่ไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอ ถือเป็นตัวอย่างที่น่าหดหู่ รวมถึง ปราติมา กอนการ์ (Pratima Gaonkar) นักกีฬาชาวอินเดีย ที่จบชีวิตตัวเองหลังผลการตรวจเพศของเธอถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน
Human Rights Watch ระบุว่ากฎการตรวจเพศนักกีฬาสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบอย่างไม่เป็นสัดส่วนต่อผู้หญิงจากประเทศกำลังพัฒนา กฎเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของภาพเหมารวมทางเพศ ไม่ใช่หลักวิทยาศาสตร์ การเฝ้าระวัง ตีตรา และสร้างภาพเหมารวม เป็นสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในกฎการตรวจเพศเหล่านี้
ยังไม่มีข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าผู้หญิงที่มีระดับเทสโทสเตอโรนสูงตามธรรมชาติจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันในทุกกีฬา และที่สำคัญคือ ไม่เคยมีการบังคับใช้กฎที่คล้ายกันนี้กับนักกีฬาชายเลย แม้ว่าผู้ชายจะมีระดับเทสโทสเตอโรนที่หลากหลายเช่นกัน
มีการยอมรับในหลักพันธุศาสตร์ของมนุษย์ทั่วไปว่าบุคคลมีสิทธิที่จะ "ไม่รู้" ข้อมูลทางพันธุกรรมของตนเอง ซึ่งได้รับการบังคับใช้โดยกฎหมายความเป็นส่วนตัวทางพันธุกรรมระหว่างประเทศและระดับชาติ การตรวจ "ยืนยันเพศ" ในกีฬาโดยการทดสอบทางพันธุกรรมจึงควรถูกยกเลิก
คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) เองก็ได้ออกกรอบแนวทางในปี 2564 ที่เรียกร้องให้สหพันธ์กีฬาแต่ละแห่งกำหนดนโยบายของตนเอง โดยมีคำแนะนำที่ชัดเจนเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยระบุว่า "ไม่ควรมีนักกีฬาคนใดต้องถูกตรวจสอบเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ และ/หรือความหลากหลายทางเพศโดยตรง"
วกกลับเข้ามาที่กรณีการตัดสิทธิ์นักกีฬา U21 เวียดนาม และข้อถกเถียงเรื่อง เพศของ "ตู้เย็น" ถือเป็นกรณีที่ยังต้องศึกษา ถกเถียง ย้ำเตือนให้เห็นว่าประเด็นเรื่องเพศในกีฬา ยังคงเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน ที่ต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กับความต้องการ การเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ถึงความหลากหลายทางชีววิทยาของมนุษย์ ควบคู่ไปกับการเคารพสิทธิมนุษยชน ความเป็นส่วนตัวของนักกีฬา และความเสมอภาพในเวทีการแข่งขัน
ที่มาข้อมูล :
Sex Testing Rules Harm Women Athletes, Is there a right not to know one's sex? The ethics of ‘gender verification’ in women's sports competition, Sex verification in sports
อ่านข่าวอื่น :
FIVB ตัดสิทธิ์ผู้เล่นเวียดนาม-ปรับแพ้ทุกนัดที่ลงเล่น หลังตรวจโครโมโซม 2 นักวอลเลย์บอล
นักเรียนไทยหวัง "เพื่อนกัมพูชา" กลับมาเรียนหนังสือด้วยกันอีก