สว. 136 คนหนาว! อดีตผู้พิพากษาอาวุโสกางกฎหมายชัดๆ ปมถูกร้องถอดจากเก้าอี้
07 ส.ค.2568 - นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “สว.อิสระล่ารายชื่อครบ ร้องศาลรัฐธรรมนูญ ถอด 136 สว. และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว” ระบุว่า
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ที่รัฐสภา น.ส. นันทนา นันทวโรภาส สว. และ น.ต.วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สว.กลุ่มอิสระ แถลงการณ์ล่ารายชื่อในกลุ่ม สว.จำนวนประมาณ 30 คน เพื่อยื่นคำร้องต่อนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า สว. 136 คน สิ้นสภาพการเป็น สว. เนื่องจากฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมือง
ผู้เขียนพิจารณาแล้ว มีความเห็นดังนี้
1.นับเป็นความพยายามของ สว. กลุ่มอิสระที่มีเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาอีกครั้งหนึ่งที่พยายามล่ารายชื่อจากเพื่อน สว. เพื่อร้องต่อประธานวุฒิสภา ให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง เนื่องจากฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมือง และสั่งให้ สว. ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีควินิจฉัย
แต่คราวนี้ล่ารายชื่อสำเร็จ ได้ชื่อมาประมาณ 30 ชื่อ ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
2.มีปัญหาข้อแรกว่า ประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็น สว. 1 ใน 136 คนที่ถูกกล่าวหา จะยอมส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญภายในเวลาอันสมควรหรือไม่
ผู้เขียนเห็นว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้มอบอำนาจให้ประธานวุฒิสภาใช้ดุลพินิจที่จะไม่ส่งคำร้องไปศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ประธานวุฒิสภาจึงต้องส่งคำร้องไปศาลรัฐธรรมนูญสถานเดียว
แม้รัฐธรรมนูญ (มาตรา 82) จะไม่ได้บัญญัติระยะเวลาให้ประธานวุฒิสภาดำเนินการ แต่สามารถใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบลายมือชื่อของ สว. ที่เข้าชื่อในคำร้อง เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาได้ ปรากฏว่า ในคราวส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยกรณีกล่าวหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับกระทรวงยุติธรรมและเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีเพราะแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ไปขุดคุ้ยคดีฮั้วเลือก สว. ประธานวุฒิสภารับคำร้องจาก สว. เสียงข้างมากตอนเช้า ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญตอนบ่าย คราวนี้จึงคาดว่าประธานวุฒิสภาจะใช้มาตรฐานเดียวกันกับคราวก่อน
หากประธานวุฒิสภาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด มีความผิดอาญา ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจไต่สวน และส่งสำนวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไปได้
3.เหตุที่ สว.เสียงข้างน้อยใช้ในการร้องขอต่อประธานวุฒิสภาคราวนี้มีเพียงข้อเดียว คือ สว. 136 คน ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมือง (พรรคภูมิใจไทย) ซึ่งเป็นเหตุที่จะทำให้สมาชิกภาพของ สว. สิ้นสุดลง หรือ สว. ต้องพ้นจากตำแหน่ง (มาตรา 111 (7) ประกอบมาตรา 113)
กรณีตามคำร้องเป็นเรื่องพฤติกรรมของ สว. (กลุ่มที่ได้มาจากการฮั้วกันเลือก) เมื่อเข้ามาเป็น สว. แล้ว ซึ่งน่าจะมีข้อเท็จจริงที่ไม่สลับซับซ้อนมากนัก ไม่ใช่กรณีบุคคลฮั้วกันเลือก สว. ซึ่งน่าจะมีข้อเท็จจริงที่สลับซับซ้อน ต้องใช้เทคนิคขั้นสูง และใช้เวลาในการตรวจสอบนานดังที่ กกต. กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่จะครบ 1 ปี แล้ว
4.นอกจาก สว. เสียงข้างน้อยจะร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ สว. เสียงข้างมาก 136 คน พ้นจากตำแหน่งแล้ว ยังร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ สว. ที่ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งได้เมื่อได้รับเรื่องไว้พิจารณา และปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า สมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง (มาตรา 82 วรรคสอง)
กรณีนี้ จะทำให้วุฒิสภาเหลือ สว. ปฏิบัติหน้าที่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งคือ 100 คน วุฒิสภาก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า มิให้นับ สว. ซึ่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเป็นจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา (มาตรา 82 วรรคสาม)
5.ปัญหาต่อมามีว่า หากต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สว. ที่ถูกกล่าวหาต้องพ้นจากตำแหน่ง จะถือว่าพ้นจากตำแหน่งเมื่อไร
รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่กระทบต่อกิจการที่ผู้นั้นได้กระทำไปก่อนพ้นจากตำแหน่ง (มาตรา 82 วรรคสองตอนท้าย)
6.ปัญหาต่อมามีว่า เมื่อมี สว. พ้นจากตำแหน่ง จะทำอย่างไรกับตำแหน่งที่ว่างลงนับร้อยตำแหน่ง
คำตอบคือ
(1) ประธานวุฒิสภาต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาเลื่อนบุคคลในบัญชีสำรองของกลุ่มนั้นขึ้นดำรงตำแหน่ง สว. แทนตามลำดับ และให้ผู้นั้นอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าอายุของวุฒิสภาที่เหลืออยู่ ในระหว่างที่บุคคลดังกล่าวยังมิได้เข้ารับตำแหน่ง ให้วุฒิสภาประกอบด้วย สว. เท่าที่มีอยู่ (มาตรา 45 วรรคหนึ่งของ พรป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561)
(2) หากไม่มีบุคคลในบัญชีสํารองของกลุ่มนั้นเหลืออยู่ ประธานวุฒิสภามีหน้าที่จับสลากว่าจะเลื่อนบุคคลในบัญชีสํารองในกลุ่มอื่นใดที่ยังมีผู้อยู่ในบัญชีสํารองเหลืออยู่ แล้วดําเนินการเลื่อนบุคคลนั้นขึ้นดํารงตําแหน่ง สว.
(3) ในกรณีที่ทุกกลุ่มไม่มีรายชื่อบุคคลในบัญชีสํารองเหลืออยู่สําหรับการเลื่อนบุคคลขึ้นดํารงตําแหน่ง สว. ให้วุฒิสภาประกอบด้วย สว. เท่าที่มีอยู่
แต่ในกรณีที่มี สว. เหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจํานวน สว. ทั้งหมด และอายุของวุฒิสภาเหลืออยู่เกิน 1 ปี ให้ดำเนินการเลือก สว. ขึ้นแทนตําแหน่งที่ว่างภายใน 60 วัน นับแต่วันที่วุฒิสภามีสมาชิกเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง (มาตรา 45 วรรคสองและวรรคสามของ พรป. สว. 2561) อันเป็นการเลือก สว. ทั่วประเทศ
7.ปัญหาข้อสุดท้ายมีว่า สว. ที่พ้นจากตำแหน่งต้องคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าวให้แก่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาด้วยหรือไม่
คำตอบคือ เฉพาะบุคคลซึ่งรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกไม่ว่าเพราะเหตุใด ได้สมัครรับเลือก เมื่อได้รับเลือกเป็น สว. ศาลในคดีอาญาต้องมีคำสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าวให้แก่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาด้วย (มาตรา 74 วรรคสอง ของ พ.ร.ป. สว. 2561)
แต่กรณีนี้เป็นการพ้นจากตำแหน่งเพราะ สว. ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือก จึงไม่ต้องคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าวให้แก่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาตามมาตรา 74 วรรคสอง ของ พ.ร.ป. สว. 2561