รัฐบาลตั้งศูนย์ต้านเฟคนิวส์ระดับชาติ "ประเสริฐ" เผยไทย-เมตาร่วมมือสกัดข่าวปลอม เสริมระบบ AI-ยืนยันตัวตนเข้ม
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงดีอี (Top Executives) ครั้งที่ 7/2568 โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดีอี เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และผ่านระบบ Video Conference
นายประเสริฐ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีการหารือร่วมกับผู้บริหารหน่วยงานของกระทรวงดีอี โดยมีวาระการพิจารณาประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.เรื่องการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ประจำปี ค.ศ. 2025 (APEC 2025 Digital and AI Ministerial Meeting) ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมให้ความสำคัญกับการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยประเทศไทยได้ร่วมให้ความคิดเห็นในเรื่องของการพัฒนา AI และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยได้มีการกล่าวถึงเรื่องของข่าวปลอม และมาตรการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก๊งคอลเซ็นเตอร์
2.การขับเคลื่อนโครงการ ‘1 อำเภอ 1 ไอทีแมน’ หรือ ‘โครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะความรู้เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับกำลังคนดิจิทัลระดับอำเภอ’ โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) ซึ่งปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ดิจิทัลอำเภอได้ดำเนินการปฏิบัติงานในพื้นที่ 878 อำเภอทั่วประเทศแล้ว พร้อมกับการจัดตั้งศูนย์ดิจิทัลชุมชนเพิ่มขึ้น 500 แห่ง รวมเป็นจำนวนประมาณ 2,300 แห่งทั่วประเทศ
3.การยกระดับการต่อต้านข่าวปลอม ขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการแต่งตั้ง ‘คณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันข่าวปลอม’ หรือ “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ’ ขึ้นโดยมีตนเป็นประธานพร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี เป็นรองประธาน โดยบูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคง และด้านการประชาสัมพันธ์ ทำงานร่วมกัน อาทิ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานตำรวจแหง่ชาติ (ตร.) กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
สำหรับการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวเป็นการดำเนินการเพื่อป้องกันและปราบปรามแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ที่ปัจจุบันมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่สร้างขึ้น และถูกส่งต่อกันทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่มีการเผยแพร่เนื้อหาไม่เหมาะสม บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร สร้างข่าวปลอม ก่อให้เกิดการปลุกระดม ยั่วยุ สร้างความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยกระทรวงดีอี ได้สนับสนุนเจ้าหน้าที่จากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti Fake News Center: AFNC) ร่วมปฏิบัติงานเฝ้าระวังและตรวจสอบข่าวปลอมตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้จากข้อมูลสถิติของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 31 กรกฎาคม 2568 พบว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ได้ทำการคัดกรองจำนวนข้อความทั้งหมด 1,188,564,734 ข้อความ โดยมีจำนวนข้อความที่เข้าเกณฑ์การตรวจสอบ 2,279,897 ข้อความ ซึ่งแยกเป็นเรื่องที่ส่งตรวจสอบ จำนวน 41,882 เรื่อง สามารถแบ่งเป็นหมวดหมู่ข่าวสารที่ผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง ดังนี้ เรื่องนโยบายรัฐบาลและความมั่นคง 20,052 เรื่อง , เรื่องสุขภาพ 14,713 เรื่อง , เรื่องเศรษฐกิจ 2,229 เรื่อง , เรื่องอาชญากรรมออนไลน์ 2,794 เรื่อง และเรื่องภัยพิบัติ 2,094 เรื่อง
ขณะเดียวกันมีเรื่องที่ได้รับการตรวจสอบแล้วจำนวนทั้งหมด 21,622 เรื่อง โดยแบ่งเป็น (1) ข่าวปลอม จำนวน 7,714 เรื่อง (2) ข่าวจริง จำนวน 8,577 เรื่อง (3) ข่าวบิดเบือน จำนวน 2,456 เรื่อง (4) ข้อมูลไม่เพียงพอ จำนวน 2,875 เรื่อง
“รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ และยกระดับการดำเนินการเรื่องของข่าวปลอมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้นรัฐบาลจึงได้จัดตั้ง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ ซึ่งนอกจากการตรวจสอบเฝ้าระวัง และดำเนินการปิดกั้นข่าวปลอมแล้ว ศูนย์ฯ ดังกล่าวจะมีหน้าที่ทำงานเชิงบวกในการชี้แจงและทำความเข้าใจในข้อเท็จจริงของข่าวเพื่อที่จะสามารถสื่อสารให้กับประชาชนได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น โดยมีการหารือร่วมกับแพลตฟอร์มทั้งหมด เพื่อทำความเข้าใจและขอความร่วมมือในการปิดกั้นข่าวปลอมที่มีการเผยแพร่ โดยเฉพาะข่าวปลอมที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว
นายประเสริฐ ย้ำว่า ขอแจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชนถึงกรณีการนำข้อมูลบิดเบือน ข่าวปลอม ไม่ว่าจะเป็นการปลอมทั้งหมด หรือแค่บางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่โดยตรง หรือการแชร์ส่งต่อ ล้วนมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งเป็นความผิดที่ไม่สามารถยอมความได้ โดยผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ