‘มหาเถรสมาคม’ สั่งยกเลิก จัดเทศน์วันสงกรานต์สมทบทุนช่วยผู้ป่วยเอดส์ วัดพระบาทน้ำพุ
เมื่อวันที่ 13 ส.ค. ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร รศ.ชัชพล ไชยพร นักวิชาการศาสนาเชี่ยวชาญ รักษาราชการแทนผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม แถลงผลการประชุมมส.ครั้งที่ 20/2568 ว่า มส.ได้พิจารณาตามที่มส.เคยมีมติที่ 424/2548 เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2548 และมติที่ 182/2549 โดยมีสาระสำคัญคือ มส.ได้ให้สนับสนุนการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อนและโรคเอดส์ ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศ โดยมส.กำหนดแนวทางให้วัดต่าง ๆ ทั่วประเทศจัดแสดงพระธรรมเทศนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นประจำทุกปี และให้รวบรวมปัจจัยที่ได้รับจากการแสดงพระธรรมเทศนานั้นส่งผ่านเจ้าคณะจังหวัด เพื่อสมทบเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อนและโรคเอดส์ โดยผ่านมูลนิธิสงเคราะห์คนเป็นโรคเรื้อนในสังฆราชูปถัมภ์ และมูลนิธิธรรมรักษ์ วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี โดยได้ดำเนินการเปิดบัญชีธนาคารในชื่อ “กองทุนสงเคราะห์คนเป็นโรคเรื้อนและโรคเอดส์” เพื่อเป็นช่องทางในการรับปัจจัยจากเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ โดยได้ดำเนินการต่อเนื่องทุกปี
รศ.ชัชพล กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันสถานการณ์ด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ ได้เจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในการรักษาโรคเรื้อนและโรคเอดส์ ซึ่งมียาและวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สถิติผู้ติดเชื้อโรคเรื้อนลดลงจนอยู่ในภาวะควบคุมได้ ส่วนผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้เป็นโรคเอดส์ สามารถรับยาต้านไวรัสตามสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากรับยาต่อเนื่องก็สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติได้ รวมทั้งมีหน่วยงานของรัฐและองค์กรด้านมนุษยธรรมต่างๆ ที่ดำเนินงานสงเคราะห์ผู้ป่วยอย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้นแล้ว มส.จึงเห็นควรปรับปรุงแนวทางการสงเคราะห์ผู้ป่วยให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนี้ 1.ให้ยกเลิกมติที่ 424/2548 และมติที่ 182/2549 และให้ปิดบัญชีธนาคารในชื่อ “กองทุนสงเคราะห์คนเป็นโรคเรื้อนและโรคเอดส์” และส่งมอบปัจจัยที่คงเหลือให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยเร็วโดยแบ่งสัดส่วนมูลนิธิละครึ่งหนึ่งของยอดเงินที่คงเหลือในบัญชี ณ ปัจจุบัน ทั้งนี้ หากมีข้อขัดข้องในการมอบปัจจัยคงเหลือแก่มูลนิธิสงเคราะห์คนเป็นโรคเรื้อน ในสังฆราชูปถัมภ์ และมูลนิธิธรรมรักษ์ วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ให้นำปัจจัยทั้งหมดมอบให้สภากาชาดไทยแทน 2.มส.ยังคงมีนโยบายด้านการสาธารณสงเคราะห์สำหรับสถานการณ์โรคร้ายแรง หรือโรคระบาดต่างๆ โดยมอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำรวจความจำเป็น พร้อมทั้งบูรณาการข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานราชการหรือองค์กรด้านมนุษยธรรม เช่น กระทรวงสาธารณสุข สภากาชาดไทย องค์กรสาธารณกุศลอื่น ๆ เพื่อการดำเนินงานสาธารณสงเคราะห์ให้เหมาะสมกับกาลสมัยและสถานการณ์ต่อไป