โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

‘รัฐบาลใหม่กับมารเมือง’

ไทยโพสต์

อัพเดต 6 กันยายน 2568 เวลา 7.52 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เสียดายแทนทักษิณ

ที่ไม่มีวาสนาได้อยู่แสดงความยินดีกับ “นายกรัฐมนตรี” คนที่ ๓๒ ที่ชื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล”

หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คนที่เคยกอดคอรักใคร่กันปานพี่-ปานน้อง!

แต่ถึงอยู่วันนี้ มันก็ทำใจยากนะ

เพราะ สส. ๔๙๐ คน ในสภา มีมากถึง ๓๑๑ คน โหวตเสียงเลือกให้ “นายอนุทิน” ผู้มีแค่ ๖๙ เสียงของพรรค เป็นนายกฯ

ในขณะที่ “นายชัยเกษม นิติสิริ” ที่พรรคเพื่อไทยส่งเข้าแข่ง สส.ทั้งสภา มีแค่ ๑๕๒ คนเท่านั้น ที่โหวตให้ ทั้งที่คะแนนพรรคตัวเองเป็นแต้มต่ออยู่แล้วถึง ๑๓๒ เสียง!?

แบบนี้ มันหมายถึงอะไร?

มันก็หมายถึงความพินาศ-ล่มสลาย “การเมืองตระกูลชิน” มาถึงแล้วน่ะซี!

เห็นสภาพแล้ว ขืนอยู่ดูวันนี้ มันก็ยากทำใจ

ฉะนั้น นั่งเจ็ตส่วนตัว “เผ่นก่อน” ดีกว่า เคว้งๆ บนฟ้าไปถลาลงที่ดูไบ ประหนึ่งกลับไปตายรัง!?

งานขั้นแรกของนายกฯ อนุทินต่อจากนี้ คือการฟอร์มรัฐบาล “เสียงข้างน้อย” ซึ่งมีเพียง ๑๔๖ เสียงเท่านั้นในสภา

ในขณะที่ฝ่ายค้าน พรรคประชาชน ๑๔๓ เสียง พรรคเพื่อไทย ๑๓๒ เสียง รวมเป็น ๒๗๕ เสียง

พร้อมเขี่ย “รัฐบาลอนุทิน” คว่ำได้ทุกวินาที!

รัฐบาลประชาธิปไตย “เสียงข้างน้อย” เท่าที่จำรางเลือน เคยมีอยู่ครั้งมั้ง แต่จำไม่ได้ว่าสมัยนายกฯ คนไหน ซึ่งก็ต้องคว่ำไป

แต่ที่แน่ๆ พ.ศ.๒๕๖๘ นี้ วันนี้แหละ……

ประเทศมี "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" อีกครั้ง โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ

แต่ขึ้นเป็นนายกฯ ด้วยเหตุผลและเงื่อนไขที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน คือได้เสียงสนับสนุน ๑๔๓ เสียงจากพรรคประชาชน-ฝ่ายค้าน ให้พรรค ๖๙ เสียง เป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย”

แลกกับเงื่อนไข ๓-๔ ข้อ ตามที่ “นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายในสภาเมื่อวาน ว่า

๑.ไม่ได้เลือกนายอนุทินมาบริหารประเทศ แต่เลือกมาเพื่อยุบสภา ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ

๒.เลือกมาภายใต้ข้อตกลงร่วมกัน เพื่อให้ยุบสภาเร็วที่สุด ไม่ต้องรอถึง ๔ เดือน

๓.หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ให้ทำประชามติกี่ครั้ง ก็จะได้เดินหน้า แก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน

๔.บังคับให้คงสภาพรัฐบาลเสียงข้างน้อย เป็นการต้อนเพื่อไทยทางอ้อมให้มาร่วมขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

๕.พรรคประชาชน ไม่ขอร่วมรัฐบาล จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน

ก็เป็น “อีกมิติ” ของประชาธิปไตยระบบรัฐสภา

-เสียงข้างน้อย ๑๔๖ เสียง เป็นรัฐบาล

เสียงข้างมาก ๒๗๕ เสียง เป็นฝ่ายค้าน!

ฉะนั้น เป็นเหตุการณ์น่าสนใจติดตามเป็นพิเศษ ว่านายกฯ อนุทิน จะนำรัฐบาลเสียงข้างน้อย “บริหารประเทศ” ให้สมดุลได้อย่างไร-ขนาดไหน?

ระหว่าง ปัญหา "ชาติ-ประชาชน-เศรษฐกิจ" ทั้งเฉพาะหน้าและอนาคต

กับความต้องการ “พรรคประชาชน” แก้รัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง ส.ส.ร.เขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใต้สัญญา ๔ เดือน!?

ตรงนี้ ยังคลุมเครือถึง หมวด ๑ ความเป็นราชอาณาจักร และหมวด ๒ พระมหากษัตริย์ ว่าจะยกเลิกแล้วเขียนใหม่

หรือจะคงหมวด ๑ หมวด ๒ ไว้ตามเดิม!?

เป็นประเด็นที่ประชาชนส่วนใหญ่ข้องใจ อยากรู้ความชัดเจน เพราะตามเงื่อนไข เขียนคลุมไว้กว้างๆ เฉพาะเรื่อง “ตั้ง ส.ส.ร.เขียนใหม่” ไม่ได้ระบุถึงตรงนี้

พูดกันตรงๆ ในทางปฏิบัติ ๔ เดือน อย่าว่าแต่ทำได้ตามเงื่อนไขพรรคประชาชนซักข้อ-สองข้อเลย

เอาแค่ตั้งรัฐบาลได้สำเร็จเรียบร้อย จนได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ก็น่าจะเป็นเดือนแล้ว

ยังจะต้องเขียนนโยบายรัฐบาล เพื่อแถลงต่อรัฐสภา นั่นก็ต้องใช้เวลาอีกพอควร

แล้วนายกฯ อนุทินยังต้องเจอด่าน “พญามารเพื่อไทย” จองเวร เผลอๆ เจอ “กับระเบิดการเมือง” ที่ถูกซุกไว้ ต้องเก็บกู้อีกตะหาก

ดูแล้ว จะต้องเผชิญทั้งศึกนอก-ศึกใน

ไม่แน่ใจว่า “เดือน-สองเดือน” จะได้ลงมือสะสางปัญหาที่รัฐบาลเพื่อไทยสร้างทิ้งไว้ได้ซักขนาดไหน?

ต้องบอกว่า ๒ ปี ๓ รัฐบาลนี่

ถ้าธุรกิจการค้าภาคเอกชน และภาคข้าราชการ รวมทั้งการทหาร ไม่เป็น “แกนประเทศ” ละก็

บ้านเมืองถึงกาล “ล่มสลาย” ไปด้วยน้ำมือรัฐบาล “กินบ้าน-ผลาญเมือง” ไปแล้ว!

ดังนั้น ผมจึงประเมินจากท่าทีพรรคประชาชนและคำพูดหัวหน้าพรรค “นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” เข้าใจว่า

ที่พรรคประชาชนมุ่งหวังจริงๆ ข้อแรก คือ “ความจริงใจ” ของนายอนุทิน ข้อสอง ต้องการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตั้งส.ส.ร.เขียนใหม่ เป็นสาระหลัก

ส่วน เงื่อนไขต้อง "ยุบสภา" ภายใน ๔ เดือน กับประเด็นมุ่งเขียนใหม่ หมวด ๑ หมวด ๒ นั่นเป็นเรื่องรอง

“เงื่อนไขเวลา” นั้น ไม่สำคัญเท่า “ความจริงใจ” ต่อสัญญา

แต่ถ้ามีปัญหา-อุปสรรคในเรื่องนั้นๆ ตามสัญญา และนายกฯ อนุทินแสดงให้เห็นถึงความจริงใจแล้ว

ผมก็คิดว่า “พรรคประชาชน” ไม่ใช่พรรคของคนที่ “ไม่มีเหตุ-มีผล” ที่จะเข้าใจ

หลายท่านคงลืมไปแล้ว ว่ามีอีกเรื่องที่สอดรับกับเงื่อนไขเวลาการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

คือประเด็น “การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” จะต้องทำประชามติกี่ครั้ง

ระหว่าง ๒ ครั้ง คือ

๑.ประชามติหลังแก้รัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๒๕๖ (๘)

๒) ประชามติหลังจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับแล้วเสร็จ

กับอีกกรณี…..

ประชามติ ๓ ครั้ง ที่เพิ่มขึ้นมา คือ

ประชามติ “ก่อน” ที่รัฐสภาพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่

นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.เพื่อไทย เสนอญัตติให้รัฐสภาส่ง “ศาลรัฐธรรมนูญ”วินิจฉัย เมื่อเดือนมีนา.๖๘

การเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อฉีกรัฐธรรมนูญ ตั้งส.ส.ร.เขียนใหม่ทั้งฉบับ ที่ยังเดินหน้าไม่ได้

ก็ติดอยู่ตรงต้องทำ “ประชามติ” คือถามประชาชนก่อน “กี่ครั้ง” นั่นแหละ

และวันที่ ๑๐ กันยา.นี้แหละ

“ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ เวลา ๐๙.๓๐ น.!

หมายความว่า ไม่ต้องรอนาน ศาลฯ วินิจฉัยว่าทำกี่ครั้งก็เดินหน้าได้เลย

แต่การฟอร์มรัฐบาลกว่าจะเสร็จและได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ รวมถึงการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

ถึงเดือนตุลา.จะเรียบร้อยตามขั้นตอน เข้าสู่โหมดนับ ๑ ของสัญญา ๔ เดือนแล้วหรือยัง ผมก็ยังไม่แน่ใจ?

ยิ่งท่านผู้มีอิทธิพลเหนือคอกหมา ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง นัดฟังคำสั่งคดีป่วยทิพย์ ชั้น ๑๔ วันที่ ๙ กันยา.

แต่วานซืน ๔ กันยา.บินปร๋อ “ออกนอกประเทศ” ไปนอนเกาสะดือ อยู่ดูไบโน่นแล้ว

บอก วันที่ ๘ จะกลับมา เพื่อไปศาล?!

เมื่อความเห็นของคนในบ้านเมืองไม่ตรงกัน การพนันก็เกิดขึ้น จึงมีการต่อรอง ทั้งกลับและไม่กลับ

กลับ มีโอกาสนอนคุก

ไม่กลับ มีโอกาสเจอ “หมายจับ” ไม่งั้นไปอยู่จนตายที่โน่น

กลับเข้ามาเมื่อไหร่ เข้าคุกเมื่อนั้น โอกาสที่จะมี “รัฐบาลเพื่อไทย” คอยคำนับต้อนรับเหมือนเดิมนั้น ชาตินี้ “ฝันแห้ง” ไปเถอะ!

พูดกันตามเทอมเวลา…..

๔ เดือน นับจากวันแถลงนโยบายรัฐบาล ก็จะครบราวๆ เดือนมกรา.๖๙ ถ้ายุบสภา ก็ต้องจัดให้มีเลือกตั้งทั่วไปภายใน ๔๕ วัน หรือไม่เกิน ๖๐ วัน

เมษา.๖๙ นั่นแหละจะได้เลือกตั้ง

เลือกตั้งเสร็จ กว่าจะได้ตัวนายกฯ กว่าจะตั้งรัฐบาล กว่าจะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ และกว่าจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

เอาว่าเร็วสุด กรกฎา.๖๙ จะได้รัฐบาลใหม่หรือยัง ก็ยังไม่แน่ใจ?

สรุปว่า ในเทอม ๔ เดือนนั้น ไส้ในมันมีเงื่อนไขเวลาเป็นขั้นตอนตามกฎหมายบังคับอยู่

ขี้หมู-ขี้หมา “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ก็ต้องอยู่ไปร่วมปี เรียกว่า “ยาวนาน” กว่าอายุ “รัฐบาลเสียงข้างมาก” ของเพื่อไทย ที่มี น.ส.แพทองธารเป็นนายกฯ ซะอีก!

ทั้งหมดนี้ พูดตามเงื่อนไขสัญญา “รัฐบาลเสียงข้างน้อย”

แต่ไม่หรอก…..

ผมค่อนข้างเชื่อว่า นับจากกันยา.นี้ไป จะมีเหตุการณ์และสถานการณ์เฉพาะหน้าให้รัฐบาลต้องรับมือที่สำคัญกว่าเงื่อนไขสัญญา ๔ เดือน

และถึงตอนนั้น “พรรคประชาชน” ก็จะเข้าใจ ในคำว่า “ปัญหาชาติ-ประชาชน” ต้องมาก่อน

คุณณัฐพงษ์ ผู้นำพรรคประชาชน พูดไว้เองมิใช่หรือ?

“พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค”

ฉะนั้น สัญญาพรรค สำคัญอันดับ ๒ รองจากสัญญาประชาชน จริงมั้ย?

-เปลว สีเงิน

๖ กันยายน ๒๕๖๘

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...