วัดพระบาทน้ำพุ แจงยิบดราม่า "หลวงพ่ออลงกต" สวมเลขคนตาย-เงินบริจาค ขอเวลาตรวจสอบเพิ่ม
ทีมทนายความใหม่ของวัดพระบาทน้ำพุ พร้อมตัวแทนมูลนิธิต่างๆ ร่วมกันแถลงข่าวยืนยันว่า “หลวงพ่ออลงกต” มีเจตนาบริสุทธิ์ช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้ด้อยโอกาส และเด็กกำพร้า พร้อมแจงปมสวมชื่อและเลขบัตรประชาชนข้าราชการที่เสียชีวิต ยันเป็นคนละคน
วันที่ 24 ส.ค. 68 เมื่อเวลา 13.15 น. ที่วัดพระพุทธบาทน้ำพุ นายศุภชัย สิงคาลวานิช หัวหน้าทีมทนายความใหม่ของวัดพระบาทน้ำพุ พร้อมตัวแทนมูลนิธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดพระบาทน้ำพุ รวมกันแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นครั้งแรก โดยยืนยันว่าหลวงพ่ออลงกตมีเจตนาบริสุทธิ์ในการช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้ด้อยโอกาส และเด็กกำพร้า และสังคมกำลังเข้าใจผิด ทำให้วัดเสียหาย
โดยเฉพาะประเด็นที่กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เรื่องที่หลวงพ่ออลงกต สวมชื่อและเลขบัตรประชาชน นายอลงกล พลมุข ข้าราชการที่เสียชีวิตไปแล้วนั้น นายศุภชัย ยืนยันว่าหลวงพ่ออลงกต มีบัตรประชาชนของท่านเอง และท่านนามสกุล “พูลมุข” ยืนยันตามหลักฐานของกระทรวงมหาดไทย ส่วนในใบสุทธิพระ ที่ใช้นามสกุลพลมุข และใช้เลขบัตรประชาชนของ นายอลงกต พลมุข ที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็สงสัยว่าท่านอาจจะสับสน
ยืนยันว่าทั้ง 2 คนมีเลขบัตรประชาชนคนละเลขกัน ส่วนประเด็นที่เลขบัตรประชาชนของนายอลงกตที่เสียชีวิต ถูกนำไปผูกกับพร้อมเพย์ของบัญชีกองทุนอาทรประชานาถ ตนเองยังไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลกับหลวงพ่ออลงกต เพราะเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิด รวมถึงยังไม่ได้ตรวจสอบเชิงลึกกับทางมูลนิธิอาทรประชานาถด้วย แต่ทางทีมทนายจะนำประเด็นเหล่านี้ไปตรวจสอบ และมาตอบคำถามสื่อมวลชนในครั้งหน้าแน่นอน
พร้อมยืนยันว่าหลวงพ่ออลงกต ไม่ได้มีเจตนาหลีกเลี่ยง ปกปิด ไม่มาให้สัมภาษณ์ แต่เนื่องจากมีข้อมูลเยอะ และมีปัญหาข้อกฎหมาย มีความซับซ้อนหลายอย่าง หลายอย่างตอบไปอาจกระทบต่อรูปคดี จึงตอบเท่าที่ตอบได้
ด้านนายเฉลิมพล พลมุข ประธานมูลนิธิธรรมรักษ์ ยืนยันว่านายอลงกต พลมุข ข้าราชการที่อยู่ที่อำเภอผักไห่ เป็นญาติโดยตรงกับตนเอง และตนเองก็ได้ไปงานศพของนายอลงกต แต่ส่วนของหลวงพ่ออลงกต ทำไมถึงนามสกุลเหมือนตนเองนั้น ตนเองไม่ได้ถามท่านตรงๆ ว่าท่านเป็นใคร มาจากไหน เลขที่บัตรประชาชนของท่านคือเลขใด เพราะในการประชุมแต่ละครั้งมีเวลาน้อยมาก แต่เคยถามนายอลงกตที่เป็นญาติตนเอง รวมถึงญาติคนอื่นๆ ที่จังหวัดมหาสารคาม มีการคุยกันเป็นระยะๆ แต่ไม่ได้สืบว่าหลวงพ่ออลงกตเป็นญาติทางไหนอย่างไร แต่ก็อย่างที่กรมการปกครองชี้แจงว่าทั้ง 2 คนมีเลขบัตรประชาชนคนละเลขกัน ส่วนข้อมูลใดปลอม ข้อมูลใดจริงบ้าง ตนเองก็ไม่สามารถตอบได้ คงต้องค้นหาความจริงกันต่อไป หรืออาจจะต้องให้ทีมกฎหมายเป็นผู้ตอบ
ส่วนใบสุทธิของพระนั้น สมัยก่อนใบสุทธิจะใช้ใบเดียวตลอดจนกว่าจะสึกหรือสิ้นอายุ แต่ช่วงหลังที่พระต้องมีบัตรประชาชน ตนเองก็ไม่แน่ใจว่าอย่างไร ส่วนใครจะเป็นผู้กรอกข้อมูลลงในใบสุทธินั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพระอุปัชฌาย์ หรือผู้รับสมัคร ไม่ใช่เจ้าตัวเขียน
นอกจากนี้ทีมทนายวัดพระบาทน้ำพุยังได้ชี้แจงในอีกหลายประเด็น ตั้งแต่ประเด็นผู้ป่วย HIV ที่ปัจจุบันมีลดน้อยลง ที่วัดรับดูแล ก็มีอยู่ 140 คน คนเหล่านี้ก็ยังต้องได้รับการดูแลทั้งเรื่องแพมเพิส อาหาร และยา เมื่อคนป่วยยังอยู่ เป็นผู้ป่วยติดเตียงประมาณครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ป่วยที่อาการดีขึ้นแล้วกลับมาช่วยงาน กลุ่มเด็กๆ ที่ต้องส่งเรียนหนังสือดูแลต่อเนื่อง และคนด้อยโอกาสต่างๆ สรุปรวมแล้วมีคนที่ทางหลวงพ่ออลงกตดูแลอยู่ทั้งสิ้น 1,260 คน
อย่างไรก็ตาม หลวงพ่ออลงกตเป็นพระรูปเดียวทำได้แต่เรื่องวัด ไม่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่ จึงได้ตั้งมูลนิธิขึ้นมาเพื่อเข้ามามีส่วนช่วยตรงนี้ เริ่มจากมูลนิธิธรรมรักษ์ จนปัจจุบันมีรวม 5 มูลนิธิ และแต่ละมูลนิธิก็ไม่เกี่ยวกับทางวัด แยกออกจากวัดโดยสิ้นเชิง กิจการต่างๆ กระทำในนามมูลนิธิ ไม่เกี่ยวกับวัด และมูลนิธิไม่ใช่ของวัด
อีกทั้งขอตอบประเด็นที่มีคนวิจารณ์ว่าสิ่งที่หลวงพ่ออลงกต ทำในทุกวันนี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่ขอยืนยันว่าสิ่งที่ท่านทำทุกวันนี้ในพระบาทน้ำพุเป็นกิจของสงฆ์ เพราะมีวัตถุประสงค์ทำให้คนมีความสุข พร้อมอธิบายว่าเดิมทีหลวงพ่ออลงกต บวชเป็นพระอยู่ที่ถ้ำเขาเขียว มีที่ญาติโยมที่วัดได้นิมนต์ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัด พอรู้หลังจากนั้นก็เริ่มมีผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีมาขออยู่ที่วัดเพื่อรักษาตัว จากนั้นก็มีผู้ป่วยเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ จนคนรอบวัดไม่กล้าเข้ามาทำบุญ ซึ่งหลวงพ่อก็ท้อมาหลายครั้ง แต่ก็ทำต่อเพราะเป็นภารกิจในการช่วยเหลือคน จนทุกวันนี้สามารถช่วยได้ทั้งผู้ป่วย บ้านพักคนชรา และสร้างโรงเรียนให้เด็ก โดยทั้งหมดขอยืนยันว่าคือกิจของสงฆ์ จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งโครงการต่างๆ
ส่วนเงินบริจาคเป็นเงินของวัดทั้งหมดหรือไม่ หรือเป็นของพระภิกษุที่ได้รับบริจาคนั้น มูลนิธิมีกี่มูลนิธิ หลวงพ่ออลงกตไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น ดังนั้นเงินที่เข้ามูลนิธิกับเงินวัดไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ส่วนเงินที่หลวงพ่ออลงกตได้รับบริจาคมาและนำเข้ามูลนิธิ ก็เป็นเงินส่วนตัวของหลวงพ่ออลงกตที่ได้รับบริจาคมาให้ทำตามสาธารณประโยชน์
ส่วนที่ดินที่ใช้ชื่อบุคคลถือแทนวัดนั้น จริงๆ แล้ว ไม่ใช่การถือที่ดินแทนวัด แต่เป็นการถือที่ดินแทนมูลนิธิ โดยที่ดินที่ซื้อ ไม่ได้ซื้อทั้งหมดรวดเดียว แต่ค่อยๆ ได้มาทีละแปลง จึงใช้เป็นชื่อบุคคลก่อนระหว่างรวบรวมที่ดิน เมื่อรวบรวมเรียบร้อยกรรมสิทธิ์ก็จะไปอยู่ที่มูลนิธิ ซึ่งส่วนที่ยังโอนไม่เรียบร้อยก็จะเสร็จในเร็วๆ นี้
ส่วนโรงเรียนนาถะศาสตร์ สร้างสนามฟุตบอล และใจฟ้าฟาร์ม ที่ตั้งอยู่บนที่ดินของมูลนิธิธรรมรักษ์และมูลนิธิอาทรประชานาถ รวม 190 ไร่ ยืนยันว่าไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อความฟุ่มเฟือยหรูหรา แต่ช่วยเหลือเด็กยากจนที่มีทักษะทางกีฬาที่ดี เพื่อพัฒนาเด็กให้มุ่งสู่อนาคตที่ดี นักฟุตบอลทีมชาติก็มาฝึกซ้อมเก็บตัวที่นี่
ส่วนที่ในอำเภอดินหนองม่วง 2,000 ไร่ แท้จริงมีเนื้อที่เพียงประมาณ 800-900 ไร่เท่านั้น และในจำนวนนี้ได้บริจาคให้ราชการ คือโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จังหวัดลพบุรี 236 ไร่ ซึ่งส่วนที่เหลือที่ทายาทของไวยาวัจกรคนเก่ายังไม่ได้โอนคืน ก็กำลังเร่งโอนคืนให้กับมูลนิธิอยู่
ทั้งนี้ นายศุภชัย กล่าวทิ้งท้ายย้ำว่าทุกข้อกล่าวหาพร้อมให้ตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม เงินทุกบาททุกสตางค์ ใช้ในประโยชน์สาธารณะทั้งหมด ที่มีข้อบกพร่องบ้างก็ยอมรับ.
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : วัดพระบาทน้ำพุ แจงยิบดราม่า "หลวงพ่ออลงกต" สวมเลขคนตาย-เงินบริจาค ขอเวลาตรวจสอบเพิ่ม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "กรมการปกครอง" ชี้แจง 3 ประเด็น กรณีเลขประจำตัวประชาชน "หลวงพ่ออลงกต"
- "หลวงพ่ออลงกต" ปฏิเสธตอบปม ชื่อซ้ำคนตาย เตรียมชี้แจงทุกประเด็นเร็วๆ นี้
- "สมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์" ขออภัยปมป้าย "หลวงพ่ออลงกต" ถือเป็นบทเรียนสำคัญ
- ภรรยา "นายอลงกต" กังวลปม "หลวงพ่ออลงกต" ชื่อซ้ำสามี วอนออกมาชี้แจ้งข้อเท็จจริง
- รอญาติรับรอง เผา 20 ศพ "วัดพระบาทนํ้าพุ" จ่อขอหมายจับ
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath