รัฐบาลจัดเต็ม เยียวยาภาษีสหรัฐฯ งัด 4 มาตรการใหญ่ กว่า 2.2 แสนล้าน
การจัดเก็บอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับหลายประเทศภายใต้บัญชีภาคผนวกที่ 1 ซึ่งหนึ่งในนั้นมีประเทศไทย และหลายประเทศในอาเซียน ถูกคิดภาษีในอัตรา 19% มีผลเป็นทางการแล้วตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 6 สิงหาคม 2568 (ตามเวลาสหรัฐฯ) ซึ่งแน่นอนว่า แม้อัตราภาษีใหม่ครั้งนี้จะถูกปรับลดลงจากเดิม แต่ก็มีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนไม่น้อย ทำให้รัฐบาลต้องเร่งหาออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยามารองรับอย่างเร่งด่วน
ล่าสุด นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ว่า รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการช่วยเหลือ โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสรุปรายละเอียดมาโดยเร็ว ซึ่งมาตรการที่ออกมาช่วยผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มของธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐนั้นจะไม่เหมือนกัน
“ยกตัวอย่าง กลุ่มธุรกิจค้าขายเพชรพลอย ก็ได้รับผลกระทบไม่เหมือนกัน ซึ่งโดนภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 19% ทางผู้ซื้ออาจจะไม่ขอรับต้นทุนจากสัดส่วนภาษีที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด และอาจจะขอแบ่งรับต้นทุนภาษีนำเข้าของสหรัฐคนละครึ่ง อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หลายธุรกิจมีการแข่งขันกับประเทศอื่น และผู้ซื้อหรือประชากรสหรัฐจะต้องเป็นคนรับต้นทุน และขึ้นอยู่กับว่าจะมีการตกลงกันอย่างไร ฉะนั้น รัฐบาลจึงจะเข้าไปดูรายละเอียดผลกระทบแต่ละรายก่อน”
ขณะที่การใช้กลไลของกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติกรอบวงเงินภายใต้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 10,000 ล้านบาทนั้น อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ผ่านกลไกของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้หรือไม่
โดยจะมีการขยายขอบเขตของงานให้ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบ ดังกล่าว ส่วนในอนาคตของประเทศไทยจะต้องปรับเปลี่ยนปฏิรูปการผลิต และธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และให้มีความทันสมัยขึ้น
จ่อคลอด 3 แพ็คเกจใหญ่ช่วยเอกชน
นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ในฐานะทีมไทยแลนด์ เปิดเผยถึงแนวทางการจัดทำมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเรียกเก็บอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ สินค้าไทยในอัตรา 19% ของสหรัฐอเมริกา ว่า ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตัวแทนองค์กรภาคเอกชน เพื่อออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาหลายมาตรการ คาดว่าเร็ว ๆ นี้จะได้ข้อสรุป
สำหรับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการเบื้องต้น มีด้วยกัน 3 มาตรการหลัก ประกอบด้วย
1.มาตรการทางด้านภาษี เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านภาษี 19% เช่น การลดหย่อนภาษี การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือการให้เครดิตภาษี เป็นต้น
2.มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) วงเงินไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท จากสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อปล่อยสินเชื่อต่อให้กับธนาคารพาณิชย์ ไปช่วยเหลือผู้ประกอบการ
3.เงินอุดหนุนของรัฐ ซึ่งที่ผ่านมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะใช้เงินจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ กรอบวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ดำเนินการผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ช่วยเหลือเอกชนรายกลุ่มต่างกัน
นายพงศ์ศรัณย์ กล่าวอีกว่า มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เตรียมออกมาครั้งนี้ รัฐบาลได้หารือกับทางผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง โดยดูเป็นรายกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มก็มีความต้องการแตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น กลุ่มอัญมณี ในช่วงแรกผู้นำเข้าอาจจะรับภาระจากภาษีสัก 40% อีก 40% ขอให้รัฐช่วยแบ่งจ่าย ส่วนอีก 20% อาจส่งต่อให้ผู้บริโภค โดยอาจจะขอเวลาปรับตัว 1-2 ปีให้สามารถปรับตัวได้ โดยอาจขอเป็นมาตรการทางภาษี เช่น การขอลดหย่อนภาษี แทนการขอ Soft Loan และในช่วงระหว่างนี้รัฐก็หากลไกอื่น ๆ ในการเก็บคืนควบคู่กัน
อีกแนวทางหนึ่งคือ การใช้กลไกของ กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ที่ผ่านมาได้รับการอนุมัติวงเงินลงไป 10,000 ล้านบาท ก็เป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับเปลี่ยนภาคการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านภาษีครั้งนี้ ส่วนการใช้กลไกของ Soft Loan อาจจะอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องสต๊อกสินค้าเอาไว้ และจำเป็นต้องมีสภาพคล่องในช่วงนั้น เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้
ส่วนแนวทางในการเจรจา ข้อตกลงร่วมการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ (Joint Agreement) ซึ่งขณะนี้ทีมไทยแลนด์จะต้องไปเจรจารายละเอียดในรายสินค้ากว่า 1 หมื่นรายการที่จะต้องเปิดตลาดกับสหรัฐ สินค้าเกษตรบางรายการ จะมีกลไกในการดูแลเกษตรกรในประเทศก่อน เช่น ข้าวโพด จะรับซื้อผลผลิตในประเทศทั้งหมดก่อนที่จะพิจารณานำเข้า พร้อมประกาศราคารับซื้อผลผลิตในราคานำตลาด เพื่อการันตีว่าผลผลิตที่มีในประเทศจะต้องได้รับการรับซื้อทั้งหมด
เยียวยาเกษตรกรผ่าน กองทุน FTA
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า รัฐบาลยังมีแนวคิดอีกหนึ่งมาตรการผ่านการจัดสรรงบประมาณอีกส่วนหนึ่ง เพื่อเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐ ผ่านกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ หรือ กองทุน FTA ซึ่งมีภารกิจในการสนับสนุนเงินทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ในการปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร ปฏิรูปผลิตผลทางการเกษตร หรือการปรับเปลี่ยนอาชีพจากการผลิตสินค้าที่ไม่มีศักยภาพไปสู่สินค้าที่มีศักยภาพ
สาเหตุที่ต้องจัดสรรงบประมาณอีกก้อนผ่านกองทุน FTA เพราะจะมีการปรับลดภาษีภาคเกษตรให้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐ แต่จะไม่เปิดเสรีโดยทันที โดยแนวทางที่รัฐบาลวางไว้คือจะทยอยเปิดเสรีด้วยการกำหนดโควตาการนำเข้า เหมือนกับข้อตกลง FTA ที่ไทยทำกับประเทศต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ ส่วนจะจัดสรรงบประมาณให้กองทุน FTA จำนวนเท่าใด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการหารือกับภาคเอกชนและเกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบอีกครั้ง
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบัน กองทุน FTA ได้เข้าไปช่วยเหลือภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิด FTA กับประเทศต่างจำนวน 35 โครงการ วงเงิน 1,208.23 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่ดำเนินการสิ้นสุดแล้ว 14 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินงาน 21 โครงการ อย่างไรก็ตามในการดำเนินการอาจต้องมีการแก้ไขระเบียบบางด้านเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการเก็บภาษีของสหรัฐฯ เพื่อสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ต่อไป
หมูหวั่นกระทบหลายแสนล้าน
นายสิทธิพันธ์ เกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จนถึงขณะนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรยังไม่ได้รับแจ้งจากภาครัฐว่า ได้นำเอาสินค้าสุกรไปใช้ในการแลกเปลี่ยนภาษีในดีลกับสหรัฐหรือไม่ ซึ่งในจุดยืนของเกษตรกรนั้น ไม่ต้องการให้มีการเปิดตลาดสินค้าสุกรจากสหรัฐ
ทั้งนี้อยากให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ว่าที่เราไปตกลงกับสหรัฐในเรื่องเนื้อหมูไว้อย่างไร เพราะหากมีการเปิดตลาดภาษี 0% จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งผู้เลี้ยงสุกรที่เวลานี้เหลืออยู่ประมาณ 1.5 แสนราย (จากอดีตมีมากกว่า 2 แสนราย/ครอบครัว) และยังมีผู้ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง และอื่น ๆ ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานอาหารสัตว์
รวมถึงโรงงานอาหารสัตว์ที่เกี่ยวเนื่องอีกจำนวนมาก ซึ่งโดยรวมแล้วจะกระทบห่วงโซ่อุตสาหกรรมหลายแสนล้านบาท นอกจากนี้จะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เพราะเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ใช้สารเร่งเนื้อแดง
ข้าวไทยลุ้นรุ่งหรือร่วง
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ในสินค้าข้าวได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าสหรัฐ แต่นับจากนี้ข้าวไทยต้องเสียภาษีที่ 19% ขณะที่ข้าวเวียดนามคู่แข่งสำคัญเสียภาษีนำเข้า 20% ต่างกัน 1% ซึ่งมีส่วนต่างกันไม่มาก คาดจะทำให้ได้เปรียบ-เสียเปรียบกันไม่มาก
ที่ผ่านมาไทยส่งออกข้าวไปสหรัฐเฉลี่ยประมาณ 8 แสนตันต่อปี ซึ่งจากอัตราภาษีนำเข้าข้าวไทยที่ 19% มองว่าผู้ที่นิยมบริโภคข้าวไทยก็ยังคงบริโภคอยู่ แต่ยอมว่ามีความกังวลจากราคาข้าวที่จะสูงขึ้นตามอัตราภาษี ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ดี เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง อาจส่งผลกระทบต่อการนำเข้า ต้องรอดูทิศทางสถานการณ์ต่อไป
สินค้าประมง 4.6 หมื่นระส่ำ
ขณะที่ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เป็นประธานการประชุมหารือและการรับฟังความคิดเห็นต่อสถานการณ์ด้านภาษีกับสหรัฐอเมริกา ด้านการค้าสินค้าประมง (8 ส.ค.68) การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อพิจารณา และวิเคราะห์ผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ปรับลดภาษีตอบโต้กับไทยจาก 36% เหลือ 19%
ทั้งนี้อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าประมงของไทยไปสหรัฐ ที่ถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาทต่อปี โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ของประเทศผู้ส่งออกสินค้าประมงไปยังสหรัฐ
โดยที่ประชุมได้กำหนด 9 มาตรการรองรับ เช่น การเปิดตลาดใหม่ (โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง), ปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อลดต้นทุน, ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ และสร้างข้อตกลงกับผู้ประกอบการ เป็นต้น พร้อมเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการติดตาม และจัดหาแหล่งงบประมาณสนับสนุน