ยุบสภากระทบ GDP อาจลดลง 1% หากไม่จัดตั้งรัฐบาลใหม่เร็ว
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและที่ปรึกษากิติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' หากสถานการณ์การเมืองเกิดการยุบสภาในช่วงเวลานี้ จะทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องของการเติบโตของ GDP ซึ่งล่าสุดประเทศไทยมีอัตราการเติบโตเพียง 1.8% เท่านั้น
หากภายใน 4 เดือนนี้ยังไม่มีการตั้งรัฐบาลใหม่ หรือหากมีการยุบสภาจริง ๆ จะส่งผลให้ GDP ของประเทศลดลงได้ถึง 1% หรือมากกว่านั้น ซึ่งปัญหาหลักที่ตามมาคือ การเบิกจ่ายงบประมาณที่รัฐบาลใหม่จะไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ซึ่งจะทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสะดุด
ในช่วงเวลาปลายปีที่รัฐบาลจะต้องเตรียมการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่มักจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี การยุบสภาจะทำให้ทุกอย่างชะงักและไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามกำหนด ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างประเทศในระยะสั้น
หากการยุบสภาทำให้กระบวนการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้องใช้เวลานานถึง 3-4 เดือน โดยกว่าจะเลือกตั้งเสร็จและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ จะทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีและช่วงต้นปีหน้าได้รับผลกระทบอย่างหนัก
โดยเฉพาะในภาคการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทต่างชาติที่มีแผนการลงทุนในประเทศไทย จะรอให้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงตัดสินใจลงทุน ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยสะดุดลง และส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะกลาง
ผลกระทบจากการยุบสภาจะไม่ใช่แค่ระยะสั้น แต่จะลากยาวไปจนถึงระยะกลาง หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่เกิดขึ้นโดยเร็ว และหากไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ในช่วงไฮซีซั่น จะทำให้ภาคธุรกิจและการลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
"การเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้องทำให้เร็วที่สุด เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงสองปีที่ผ่านมา ที่รัฐบาลไม่ได้บริหารเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เศรษฐกิจของไทยมีการเติบโตต่ำที่สุดในอาเซียน และยังไม่มีนโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในภาคเอกชนได้"
ทั้งนี้ นโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการ โดยเฉพาะการอัดฉีดเงินทุนให้กับธุรกิจ SMEs ที่ขาดสภาพคล่องจากการขาดกระแสเงินสด โดยการออกเงินกู้แบบ "soft loan" หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนธุรกิจ SMEs ให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีขนาดเล็กและกลางที่ได้รับผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา
"เงินทุน soft loan ควรได้รับการสนับสนุนจาก บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) ที่สามารถค้ำประกันให้กับธุรกิจ SMEs ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยเสนอให้รัฐบาลออกเงินทุน soft loan ให้กับธนาคารของรัฐ และให้ธนาคารพาณิช เพื่อให้สามารถนำไปกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจได้"
สุดท้าย แม้ในช่วงที่รัฐบาลใหม่ยังไม่ได้รับการจัดตั้ง ระบบเศรษฐกิจและภาคธุรกิจต่าง ๆ จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นด้วยมาตรการที่มีประสิทธิภาพ และรัฐบาลใหม่ต้องสามารถดำเนินการนโยบายต่าง ๆ ให้รวดเร็วและเป็นรูปธรรม เพื่อที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้สามารถกลับมาเติบโตได้ในระยะสั้นและยาว นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการสถานการณ์การเมืองให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบที่ยืดเยื้อไปถึงปีหน้า