รับมือ September Effect กดดันหุ้นโลก
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 2 กันยายน 2568 เวลา 21.08 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตลาดหุ้นโลกในเดือนกันยายน มักให้ผลตอบแทนติดลบเกิน 50% โดยเฉพาะดัชนี NASDAQ ที่มีโอกาสที่ผลตอบแทนจะติดลบมากที่สุด ส่วน S&P500 และ ตลาดหุ้นไทย ในอดีตมีผลตอบแทนติดลบเฉลี่ย -1.51% และ -1.05% ตามลำดับ
นายดนัยภัทร เนตรพิทูร CFA, CMT, CQF นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานตลาดทุนและเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยบทความเรื่อง กันยาอาถรรพ์…กดดันหุ้นโลก ว่า เดือนกันยายน ผลตอบแทนย้อนหลังตลาดหุ้นใหญ่อย่างสหรัฐฯ (S&P500, NASDAQ) รวมถึง SET Index มักจะไม่สดใสมากนัก โดยเฉพาะหลังจากวิกฤต Dot Com ในปี 2000 เป็นต้นมา
จะเห็นได้ว่าในช่วง 25 ปีย้อนหลัง (2000-2025) ดัชนีทั้ง 3 มีผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ ที่เป็นหุ้นเทคโนโลยีในดัชนี NASDAQ ที่เฉลี่ยติดลบมากถึง 2.06% ในเดือนดังกล่าว ส่วนดัชนี S&P500 และ SET Index มีผลตอบแทนเฉลี่ย -1.51% และ -1.05% ตามลำดับ และถ้าคำนวณความน่าจะเป็น จะพบว่าเดือนกันยายนมักจะมีความน่าจะเป็นที่ผลตอบแทนจะติดลบเกิน50% โดยดัชนีที่มีโอกาสผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในสามดัชนี คือ NASDAQ เพราะหุ้นส่วนใหญ่เป็น หุ้นเทคโนโลยี (Technology) และเป็นหุ้นเติบโต (Growth) จำนวนมาก
ทำไมเดือนกันยายนผลตอบแทนมักจะติดลบ
เป็นปรากฎการณ์ September Effect ที่ผลตอบแทนมักจะติดลบ เหตุผลมาจากการปรับพอร์ตเพื่อ Rebalancing ของกองทุนในปลายไตรมาสที่ 3 ทำให้นักลงทุนสถาบันมักจะขายเพื่อปรับพอร์ตก่อน เข้าสู่ไตรมาสที่ 4 หรือ นักลงทุนเริ่มขายเพื่อวางแผนภาษีปลายปี
ส่วนด้านปัจจัยมหภาค เดือนกันยายนเป็นเดือนที่มีการประชุม Fed ครั้งแรก หลังผ่านการประชุมใหญ่ ที่เมือง Jackson Hole ซึ่งมักจะเป็นจุดเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน ทำให้ตลาดอาจกังวลกับท่าทีของ Fed และจะเป็นช่วงที่มีข่าวเรื่องการผ่านงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ประเด็น Government Shutdown จะถูกนำมาขยายในช่วงนี้ของทุกปี
สำหรับประเทศไทยเดือนกันยายนเป็นเดือนที่สิ้นสุดปีงบประมาณ และเป็นช่วงที่รัฐบาลจะโยกย้าย ข้าราชการ ทั้งทหารและพลเรือน จึงเป็นช่วงที่มีความเปราะบางสูงและมักจะลามไปยังเดือนตุลาคมด้วย รวมถึงการปรับพอร์ตจากกองทุนในประเทศที่เริ่มตอบรับงบไตรมาสที่ 2 ของบริษัทจดทะเบียน และ Outlook ที่ผู้บริหารให้สำหรับปีหน้า
กลยุทธ์การลงทุน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนี S&P500 และ NASDAQ เริ่มปรับตัวขึ้นมาสูง และ Valuation เริ่มตึงตัว การเข้าซื้อในช่วงนี้อาจมีเสี่ยง Downside Risk ที่มากกว่า อีกทั้งยังมีโอกาสที่ตลาดจะพักฐานครั้งใหญ่อย่างน้อยหนึ่งรอบเพื่อขึ้นต่อ จึงแนะนำกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ยัง แนะนำให้ถือเงินสด (Hold Cash) ไปก่อน ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้อาจต้อง Selective Play เลือกตัวที่เคลื่อนไหวอิงกับดัชนีน้อย กลุ่มหุ้นปลอดภัย หรือหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมาเยอะก่อนหน้านี้แต่พื้นฐานกิจการยังดีและน่าสนใจ ทยอยสะสมไปเรื่อยๆ
หุ้นเด่นที่ Valuation น่าสนใจและพื้นฐานธุรกิจยังแข็งแกร่ง ได้แก่ NVO.NYSE , UNH.NYSE , LLY.NYSE และ BRK-B.NYSE