พิมมา PiXXie เล่าโดนบูลลีเปรียบเทียบเพื่อนในวง | เคยน้ำหนักขึ้นจนต้องกินแค่กล้วยกับมันนึ่ง
ไนน์เอ็นเตอร์เทน
อัพเดต 4 กรกฎาคม 2568 เวลา 21.14 น. • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • NineEntertain ข่าวบันเทิงอันดับ 1 ของไทยเปิดเส้นทางชีวิตไอดอลสาว พิมมา PiXXie หรือ พิมพ์มาดา ใจสักเสริญ กว่าจะมาเป็นไอดอล TPOP สุดฮอต จากที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาอยู่จุดนี้ สู่เส้นทางการเป็นดาว ยอมรับเคยน้ำหนักขึ้นจนต้องอดข้าว กินแค่กล้วยกับมันนึ่งก่อนเดบิวต์! ในรายการ Prime Cast
ที่มาของชื่อ พิมมา ?
พิมมา : ชื่อจริงคือ พิมมาดา ตอนเกิดชื่อเล่นคือพิม แต่เพื่อนที่โรงเรียนเปลี่ยนให้เพราะซ้ำกับเพื่อน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นไอดอล เพราะรู้สึกว่าไกลตัวมาก และเมื่อก่อนไม่ชอบร้องเพลงเลย ไม่ร้องเพลง แต่ชอบเต้นอย่างเดียว คิดว่าตัวเองอาจจะเป็นครูสอนเต้นหรือแดนเซอร์มากกว่า
ประสบการณ์ด้านการร้องเพลง ?
พิมมา : ไม่ได้มีประสบการณ์เรื่องการร้องเพลงขนาดนั้น แต่ตอนกำลังจะขึ้นปี 2 รุ่นพี่ที่เป็นน้องชายของพี่โดม (พี่บอนชอน) ชวนให้มาออดิชั่น เพราะพี่โดมกำลังจะเปิดค่ายก็เลยลองออดิชั่นไหม ก็เลยส่งคลิปไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตอนแรกกลัวนิดหน่อย เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ แต่สุดท้ายก็เป็น Trainee คนแรกในค่าย LIT คุยเล่นกับเพื่อนบ่อย ๆ ว่าถ้ามาบอกตอนนี้อาจจะไม่ติดแล้วเพราะตอนนั้นยังไม่มีตัวเปรียบเทียบ
มีอะไรอยากจะบอกน้อง ๆ ที่อยากเป็นไอดอล ?
พิมมา : สู้ ๆ ค่ะ ถ้าเราตั้งใจทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าปลายทางจะประสบความสำเร็จหรือไม่ พิมมาเชื่อว่าระหว่างทางเราได้อะไรแน่นอน อยากให้น้อง ๆ ที่อยากเป็นไอดอลหรือศิลปิน Enjoy กับ Process และ Enjoy กับระหว่างทาง กว่าจะไปถึงความฝัน เชื่อว่าจะได้เก็บเกี่ยวอะไรไปไม่มากก็น้อยแน่นอน
เริ่มดูแลสุขภาพเรื่องรูปร่างตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
พิมมา : เราเป็นคนเต้นอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพเท่าไหร่ เพราะชอบคาร์ดิโอ เป็นคนสมาธิสั้นนิดหน่อย ต้องหากิจกรรมทำตลอด แต่ถ้าเริ่มดูแลแบบจริงจังเลยก็น่าจะเป็นช่วงที่เป็นศิลปิน เพิ่งมารู้จักดูแลอาหาร ควรจะกินยังไง หรือคำนวณโปรตีนที่ควรได้รับต่อวัน
ทางค่ายต้องให้ทุกคนไปออกกำลังกายไหม ?
พิมมา : จริง ๆ เขาอยากให้เราแข็งแรง ร่างกายพร้อมที่จะเพอร์ฟอร์มมากกว่า ไม่ได้บังคับว่าต้องเข้าฟิตเนส แต่ต้องดูแลตัวเองให้ร่างกายพร้อมที่จะร้องและเต้นบนเวที เต้นร้องบนเวทีเหนื่อย แรก ๆ คือไม่ไหวเลย ต้องพยายามเตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแรงและรับไหวกับสิ่งที่กำลังจะทำ
ทางค่ายมีกำหนดหุ่น หรือเสื้อผ้าที่ต้องฟิตให้เข้าชุดเดิมทุกปี เหมือนไอดอลค่ายอื่น ๆ ไหม ?
พิมมา : Pixxie ไม่มีเลยค่ะ ถ้าเป็นค่ายหลัก ๆ น่าจะวางไว้แค่เป็นคาแรคเตอร์ของเด็ก ๆ ในวงมากกว่า ไม่ได้กำหนด แค่ให้เรารักษาหุ่นให้เราชอบตัวเองและแข็งแรง เน้นเรื่องความแข็งแรงในการเพอร์ฟอร์มและใส่เสื้อผ้าได้สวยงาม เอาแบบที่เราพอใจกับตัวเอง แต่ช่วงที่กลับมาจากทำงานที่ญี่ปุ่น รู้สึกว่าอ้วนขึ้นนิดหนึ่ง ตอนนี้กำลังกลับไปเข้าฟิตเนส
อาหารการกินก่อนเข้าฟิตเนสกับหลังเข้าฟิตเนสแตกต่างกันเยอะไหม ?
พิมมา : จริง ๆ มันควรจะต่างกันค่ะ แต่บางครั้งก็อดใจไม่ไหวที่จะกินขนม ก็มีช่วงที่ไม่สามารถบาลานซ์ได้ และตบะแตก น้ำหนักขึ้นเป็น 10 กิโลกรัม เหมือนช่วงเดบิวต์ใหม่ ๆ ที่ยังเด็กและไม่รู้เรื่องการกิน พากันไปกิน พอถึงวันที่จะต้องเดบิวต์น้ำหนักก็ขึ้นไปเกือบ 10 กิโลกรัม เครียดกันทั้ง 3 คน เพราะขึ้นพร้อมกันหมด น่าจะเป็นเพราะกินดึก และน่าจะกินมากเกินไปกว่าที่ควรจะเป็นในช่วงเวลานั้น ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดด้วย ไม่ค่อยมีงานให้ออกไปเต้นเท่าไหร่ มีซ้อมอยู่ แต่แคลอรี่ที่กินเข้าไปอาจจะยังไม่พอ หรือกินมากเกินไป ช่วงนั้นเครียดกันมาก พิมมาน้ำหนักขึ้นไปประมาณ 52-53 กิโลกรัม คุยกันว่าจะทำยังไงดี เพราะต้องไปถ่ายงานแล้วอ้วนมาก กลัวฟุตเทจจะอยู่บน YouTube ตลอดกาล
ลดน้ำหนักอย่างไรในตอนนั้น ?
พิมมา : ลดได้เท่าที่ลดได้ ตอนนั้นลงมาได้ประมาณ 48 กิโลกรัม ซึ่งไม่ใช่เป็นวิธีที่ Healthy เพราะมีเวลาจำกัดมาก ไม่ยอมกินข้าว กินแต่กล้วยทั้งวันลูกเดียวแล้วก็มันนึ่ง ร่างกายตอนนั้นก็ไม่ค่อยดีเลย เหนื่อยง่าย รู้สึกว่ามันไม่ใช่การผอมลงที่แข็งแรง มีความเครียดเข้ามา ไม่สดชื่น พักผ่อนไม่ดี
หลังจากนั้นปรับวิธีการลดน้ำหนักยังไง ?
พิมมา : ต้องกินให้ถึง และออกกำลังกายให้ถึงเหมือนกัน จริง ๆ แล้ว ไม่ได้เป็นคนอ้วนขนาดนั้น แค่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่กินจุกจิก ไม่ห้ามปากตัวเอง พอรู้แล้วว่าเคยไปอยู่ในจุดที่น้ำหนักเกินสำหรับตัวเอง ก็เลยรู้สึกว่าอันดับแรกคือเตือนกันเวลาจะกินขนมให้มีลิมิต ไม่ได้ตัดไปเลยแต่ก็ไม่ได้ตามใจปากทั้งหมด เลือกเป็นขนมคลีน หรือเจอตรงกลางระหว่างที่อยากกินขนมกับการรักษาสุขภาพ
โดยเฉลี่ยแล้วซ้อมเต้นวันละกี่ชั่วโมง ?
พิมมา : Pixxie ไม่ได้ซ้อมเต้นเยอะขนาดนั้น จะมีตารางซ้อมแค่ช่วงที่จะปล่อยเพลงใหม่หรือทำโชว์ใหม่ เราออกอีเวนต์ค่อนข้างบ่อย อย่างต่ำอาทิตย์ละ 3-4 งาน ซึ่งเหมือนเป็นการได้ซ้อมไปในตัวเวลาไปเพอร์ฟอร์ม ก่อนหน้านี้เล่นพิลาทิสค่ะ แต่ช่วงนี้กลับมา เวทเทรนนิ่งด้วย ตอนนี้ก็เล่นทั้งคู่ ควบคู่ไปกับคาร์ดิโอ
การนอนช่วงนี้เป็นยังไง ?
พิมมา : นอนดีขึ้นเยอะ จริง ๆ เป็นคนนอนดึกค่ะ ประมาณตี 4 นอนไม่หลับเฉย ๆ เป็นคนที่รู้สึกว่าวันไหนที่เลิกงานค่ำ เช่น 23:00 น. จะยังนอนไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง จะต้องกลับไปไถมือถือ เล่นกับแมว หรือดูซีรีส์ เพราะกลางวันทำงาน เลยรู้สึกว่าเราจะนอนไปแบบยังไม่ได้ใช้ชีวิตตัวเอง ก็เลยนอนน้อย นอนบนรถตู้ หรือแอบนอนระหว่างวัน เป็นคนต้องการชั่วโมงนอนน้อยกว่าคนทั่วไป บางครั้งนอน 3 ชั่วโมงก็พอแล้ว รู้สึกนอนอิ่มแล้ว แต่ช่วงนี้พยายามนอนเยอะขึ้น และเริ่มนอนดีขึ้นประมาณ 6 ชั่วโมง รู้สึกว่ามันสดชื่นกว่า
ช่วงไหนที่งานเยอะ ๆ ต้องนอนน้อย ซ้อมเต้นเยอะ ๆ จัดการตรงนี้ยังไง ?
พิมมา : จัดการได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้าเป็นช่วงที่ทัวร์หนัก ๆ หรือซ้อมคอนเสิร์ตหนัก ๆ ก็คือไม่ได้แบ่งชีวิตไปทำอย่างอื่นเลย โฟกัสแค่ตรงนั้น หมดงานก็นอน ตื่นมาก็ลุยงานต่อ อย่างตอน Pixxie ไปทัวร์เหนือประมาณอาทิตย์หนึ่ง 5-6 วัน ก็คือลุยอย่างเดียว แล้วค่อยกลับมานอนที่กรุงเทพฯ ทีเดียว
เคยโดนเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมวงบ้างไหม ?
พิมมา : มีบ้างค่ะ เอาจริง ๆ ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองโตแล้วและเข้าใจคนมากขึ้น เลยไม่รู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องเชิงลบ เพราะ Pixxie ทั้ง 3 คนสนิทกันมาก และคุยกันตลอด เวลาที่มีคนชมเพื่อน ถึงแม้จะเปรียบเทียบกับตัวเอง ก็รู้สึก Appreciate ในส่วนที่เป็น Positive ที่ชมเพื่อน คืออยากให้เพื่อนได้ดี คุยกันบ่อย ๆ ว่าทั้ง 3 คนไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบเท่ากันได้อยู่แล้ว ขนาดดูไอดอลเกาหลีหรือคนอื่นยังไม่สามารถชอบทั้งวงได้เท่ากันเลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติมากที่เขาจะชอบหรือไม่ชอบเรา คุยกันว่าทิศทางของเราทั้ง 3 คนไม่เหมือนกัน เรามีตัวตนในแบบที่เราชอบดีกว่า สุดท้ายแล้วอยู่ที่คนดูจะเลือกชอบคนไหนหรือแบบไหน สำหรับพิมมาเป็นเรื่องธรรมชาติมากที่จะชอบมาเบลมากกว่า ชอบพิมมาน้อยหน่อย หรือชอบอิงโกะมากกว่า รู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะไม่สามารถรู้สึกกับใครเท่ากันตลอดได้
กว่าจะมาถึงจุดที่เข้าใจและยอมรับตรงนี้ได้ นานไหม ?
พิมมา : นานค่ะ ช่วงเดบิวต์แรก ๆ Pixxie เป็นพร้อม ๆ กัน ด้วยความที่มันใหม่กับงานตรงนี้ อ่านทุกคอมเมนต์และรับมาหมดว่าคนไม่ชอบ ไม่ดี ซึ่งเป็นธรรมชาติของคนที่เราจะรับด้าน Negative มากกว่า Positive โชคดีที่ได้พี่ในค่ายคอยบอกและสอนว่าเราไม่สามารถทำทุกอย่างให้ถูกใจคนทั้งโลกได้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์แค่เคารพความชอบของคนอื่นและเคารพซึ่งกันและกันก็พอ
ตอนนี้พอเห็นคอมเมนต์แย่ ๆ แล้วเลื่อนผ่านเลยไหม ?
พิมมา : จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เลื่อนผ่านได้ขนาดนั้น แต่จะเลือกอ่านและมองตามสิ่งที่มันเป็นแฟกต์ สมมุติว่าเขาพูดไม่ดีจริง แต่มีเจตนาที่ดีและอยากเตือนว่าเราบกพร่องอะไรบ้าง ก็จะอ่านและพยายามมองทะลุคำพูดไปถึงเจตนาของเขา ถ้าคอมเมนต์นั้นพูดแรงจริงแต่ติเพื่อก่อก็จะเก็บสิ่งนี้ไว้ แต่ถ้าอันไหนดูอยากจะด่าเฉย ๆ เป็นแค่สนามอารมณ์ก็จะไม่สนใจ
วิธีคุยกับตัวเองยังไงในวันที่ Burnout จากการทำงาน ?
พิมมา : Burnout มีค่ะ Pixxie โชคดีที่สนิทกัน เวลาทำงานไม่รู้สึกเหมือนไปทำงาน เหมือนไปเล่นกัน เหมือนไปโรงเรียนแล้วมีเพื่อนอยู่ โชคดีที่เวลาทำงานเหนื่อยมาก ๆ ระหว่างวันยังหันไปเห็นอีก 2 คนที่เหนื่อยเหมือนกัน ทำให้ไม่รู้สึกไม่ไหวหรืออยากพอ เพราะ Enjoy กับเพื่อนแล้วเพื่อนก็เหนื่อยไปด้วยกัน ทำให้รู้สึกไม่เหงา
ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่ กลัวความแก่ไหม ?
พิมมา : ปีนี้เพิ่ง 24 ปีค่ะ ถ้าพูดเล่นกับเพื่อนว่าบ่นแก่ก็มี แต่จริง ๆ รู้สึกว่าตัวเองมีความเป็นเด็กค่อนข้างสูงในตัว แต่ถ้าเรื่องร่างกายก็กลัวอยู่ เพราะกระดูกไม่ค่อยดี และเต้นมาตั้งแต่เด็ก ๆ หัวเข่าเริ่มแล้วค่ะ น่าจะใช้งานหนักมาก ๆ จนมันเจ็บ พลิกง่าย เคล็ดง่าย หัวเข่าจะก๊อบแก๊บนิดหน่อย ก็คือกลัวแค่ว่าถ้าอายุมากขึ้น อาจจะต้องกินแคลเซียมช่วยด้วย
อะไรคือสิ่งที่พิมมารู้สึกอยากจะรักษาความเป็นเด็กในตอนนี้มากที่สุด ?
พิมมา : กลัวแก่ เพราะการเป็นผู้ใหญ่สำหรับพิมมาไม่สนุกขนาดนั้น อินกับความสนุก อินกับความเป็นเด็ก แค่กลัวว่าถ้าโตขึ้นไปแล้ว เราอาจจะตื่นเต้นกับโลกนี้น้อยลง รู้สึกว่ามัน Positive ในการใช้ชีวิต ในเวลานี้ถ้ารู้ตัวว่าวันไหนไม่ได้ทำอะไรเลย นอนอยู่ห้องเฉย ๆ นิ่ง ๆ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรเลย เป็น Introvert ค่ะ เข้าหาคนอื่นไม่เก่งแต่ถ้ามีคนมาคุยด้วยจะกล้าคุย แต่ก็คิดว่าตัวเองเป็น Introvert ที่เก่งขึ้นแล้วตั้งแต่ทำงาน