ลุ้นทีมไทยแลนด์เจรจาสหรัฐฯคืนนี้ เอกชนหวังได้ลดภาษีเหลือ 15%
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวียดนามที่ได้ข้อสรุปเรื่องภาษีนำเข้าระหว่างกันว่า ถือเป็นเค้าลางว่าการเจรจาของไทยกับสหรัฐที่จะเกิดขึ้นวันนี้ (3 ก.ค. 68) อย่างเป็นทางการ ตามเวลาประเทศไทยประมาณ 21.00 น. กับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) แบบตัวต่อตัวน่าจะมีแนวทางที่คล้ายกัน
ทั้งนี้ เนื่องจากหากคิดตามการประกาศเก็บภาษีนำเข้าที่ 46% จากเวียดนามของสหรัฐฯในเบื้องต้น ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณ 2 สัปดาห์มีการระบุว่าภาษีจะอยู่ในกรอบประมาณ 15-20% ที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บจากเวียดนาม ส่วนรายละเอียดยังไม่มีการเปิดเผย จนกระทั่งโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศชัดเจนว่าบรรลุข้อตกลงกับเวียดนามเป็นประเทศที่ 3
โดยผลที่ออกมาคือจากเดิมจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามที่ 46% จะถูกปรับลดเหลือ 20% ส่วนกรณีที่เป็นสินค้าที่มีการสวมสิทธิ์โดยผ่านเวียดนามไปสหรัฐ จะถูกเรียกเก็บที่ 40% ส่วนสิ่งที่เวียดนามแลกกับสหรัฐคือ จะไม่เก็บภาษีใด ๆ ในการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ หรือภาษีเป็น 0%
อย่างไรก็ดี เมื่อนำเปรียบเทียบกับไทย หากมองว่าไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่ 36% โดยคิดตามสัดส่วน หรือตามบัญญัติไตรยางค์แบบยังไม่มีเงื่อนไจขอื่นประกอบ ไทยน่าจะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าไม่เกิน 15% ส่วนกรณีการสวมสิทธิ์ เนื่องจากประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นประเทศทางผ่านของประเทศที่ 3 เพื่อส่งไปสหรัฐไทยอาจจะถูกเรียกเก็บที่ 30%
ส่วนเรื่องภาษี 0% จากสินค้านำเข้าจากสหรัฐในทุกรายการ ไทยก็อาจจะถูกตั้งเงื่อนไขแบบเดียวกัน ซึ่งอาจจะเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยยังไม่นับรวมอีกหลายเงื่อนไขที่อาจถูกพ่วงมาด้วย โดยเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อนที่ไม่สามารถเจรจาหรือเปิดเผยทางสาธารณะชนได้
อย่างไรก็ดี ต้องเรียนว่านี่เป็นเพียงฉากทัศน์จากกรณีที่คาดการณ์จากแนวทางที่สหรัฐฯใช้กับเวียดนามก่อนที่ไทยจะเจรจา กับสหรัฐ ถือว่าเป็นผลดีที่ทำให้ได้เห็นแนวทาง และเค้าลางวิธีคิด หรือเรียกว่าเห็นเฉลยข้อสอบล่วงหน้า ดังนั้น จึงหวังว่าผู้แทนการค้าของไทยจะใช้แนวทางดังกล่าวไปปรับใช้ในการเจรจากับสหรัฐให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
ทั้งนี้หากสหรัฐต้องการให้ไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเป็น 0% ทุกรายการเหมือนเวียดนาม ก็จะเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าที่เคยหารือกันก่อนเดินทางไปเจรจา เพราะเบื้องต้นคาดว่าจะมีแค่บางรายการ เช่น สินค้าจากภาคการเกษตร
อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปในรูปแบบดังกล่าวที่ไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 15% และถูกเรียกเก็บ 30% จากสินค้าที่ถูกสวมสิทธิ์ก็น่าจะเป็นผลดีกับไทย
นายเกรียงไกร กล่าวต่ออีกว่า ถือเป็นสัญญาณที่ดี ในแง่ที่ทำให้ไทยได้เห็นวิธีการเจรจาของสหรัฐกับเวียดนาม ซึ่งเป็นแบบอย่าง ขอส่งกำลังใจให้ทีมไทยแลนด์ใช้แนวทางดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดองประเทศ หากเป็นไปตามสัดส่วนตามที่คำนวณดังกล่าว การส่งออกของไทยยังได้เปรียบประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ความชัดเจนจะเป็นอย่างไร คงต้องลุ้นกันคืนนี้ที่ทีมเจรจาของไทยจะได้หารือกับ USTR อย่างเป็นทางการนัดแรก เพราะกำหนดเดดไลน์การผ่อนปรนมาตรการการเก็บภาษีนำเข้าคือวันที่ 9 ก.ค. 68 ซึ่งยังไม่รู้ว่าไทยจะเจรจาได้ทันหรือไม่ โดยสหรัฐอาจจะใช้แนวทางเดียวกับเวียดนามกับประเทศในแถบนี้ แค่รายละเอียดในแต่ละประเทศที่อาจจะแตกต่างกัน แต่หากไม่ทันกำหนดก็ต้องดูว่าสหรัฐฯจะยืดเวลาออกไปอีกเท่าไร
“ลองนึกภาพว่าสหรัฐฯ ยืดระยะเวลาให้กับไทย หลังจากที่เดดไลน์ครบแล้ว ไทยก็ยังได้รับสิทธิ์เสียภาษีนำเข้า 10% อยู่ ก็จะได้เปรียบเวียดนาม แต่หากไม่มีการยืดเวลาไทยจะเสียภาษีที่ 36% ขณะที่เวียดนามเสียแค่ 20% ไทยก็จะเสียเปรียบ”