KTC เป็นจังหวะช้อน? 5 วันราคาร่วงแล้ว 27% กูรูประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” มองพื้นฐานแน่น-ปันผลน่าสนใจ
ราคาหุ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ปรับตัวลดลงอย่างหนักในช่วง 5 วันที่ผ่านมา โดยวันที่ 27 มิ.ย. 68 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 24.40 บาท ลดลง 4.31% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 4,344.18 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากนับจากช่วง 5 วันที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแล้ว 27.16% จากระดับ 33.50 บาท ณ วันที่ 23 มิ.ย. 68 โดยคาดว่าปัจจัยที่กดดันราคาหุ้นในครั้งนี้เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งแรงขายที่เกิดจาก stop loss และ forced sell รวมถึงความกังวลต่อแนวโน้มคุณภาพสินเชื่อของ KTC ซึ่งเน้นปล่อยกู้ในกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อที่ชะลอตัว
อย่างไรก็ดี ในส่วนของมุมมองนักวิเคราะห์มีมุมมองไปในทิศทางเดียวกัน คือแนะนำ “ซื้อ” หุ้น KTC โดยมองว่าราคาหุ้น KTC ขณะนี้อยู่ในระดับต่ำมาก เทียบกับมูลค่าทางบัญชีในอนาคต สะท้อนการถูกขายเกินพื้นฐาน ทั้งที่บริษัทยังมีจุดแข็งจากงบดุลแน่น สำรองต่อหนี้เสียสูงถึง 385% รวมถึงมีการจ่ายปันที่น่าสนใจ ด้วยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 5% อีกทั้งยังได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง ขณะเดียวกัน กำไรปี 2568 ยังมีแนวโน้มทำจุดสูงสุดใหม่ต่อจากปีก่อน
โดยบทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุ แนะนำ “ซื้อ” KTC ด้วยราคาเป้าหมาย 40.00 บาท เพราะ 1) ราคาหุ้น KTC ปรับลงมาซื้อขายที่1.6x เทียบเท่า Forward PBVที่ -2.25SD 2) มีจุดแข็งเรื่องงบดุล โดยเฉพาะสำรองต่อหนี้เสีย (Coverage Ratio) คงระดับสูงราว 385% 3) เงินปันผลน่าสนใจ dividend yield คาดที่ 5% 4) ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง 5) กำไรสุทธิปี 2568 คาดทำจุดสูงสุดใหม่ต่อจากปี 2567
ทั้งนี้ คาด KTC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ที่ 1,875 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น +3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ +1% จากไตรมาสก่อน เพราะค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง -6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทรงตัวจากไตรมาสก่อน จากช่วงที่ผ่านมามีการตั้งสำรองล่วงหน้าไว้จำนวนมากแล้ว รวมถึงคุณภาพสินทรัพย์บริหารได้ดี Gross NPL ทรงตัวจากไตรมาสก่อน ทำให้ NPL Ratio อยู่ที่ 2.00% ใกล้กับไตรมาส 1/68 ที่ 1.97%
สำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจหลัก PPOP ลดลง -2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ -2% จากไตรมาสก่อน จาก 1) รายได้ดอกเบี้ย (NII) ลดลง -1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ -1% จากไตรมาสก่อน จาก NIM อยู่ที่ 13.4% ลดลงจากไตรมาส 2/67 ที่ 13.6% จาก portfolio mixed
นอกจากนั้นสินเชื่อรวมลดลง -1% จากไตรมาสก่อน คิดเป็น -5% จากต้นปีถึงปัจจุบัน จากสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 2) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ลดลง -1% จากไตรมาสก่อน จากการลดลงหนี้สูญรับคืน 3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้น +3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ +2% จากไตรมาสก่อน จากค่าใช้จ่ายทางด้าน IT
อย่างไรก็ดี ปรับกำไรสุทธิปี 2568-70 ลงปีละ –7% / -10% และ -13% อยู่ที่ 7,525/ 7,723 และ 8,117ลบ. จาก 1) สินเชื่อรวมต่ำคาด จากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่น้อยลงและความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ 2) NIM ต่ำคาดจาก portfolio mixed 3) หนี้สูญรับคืนต่ำคาด จากการตามหนี้ยากขึ้น
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” KTC ด้วยราคาเป้าหมาย 30.00 บาท โดยยังคงชอบ KTC จากความสามารถในการทำกำไรที่สูง (ROA เฉลี่ย 6.7% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา) และมีกำไรที่มีความแน่นอนสูงจากการตั้งสำรองหนี้สูญในระดับสูง หุ้นให้ผลตอบแทนเงินปันผล 5.7% โดยอิงจากอัตราการจ่ายเงินปันผล 50% ความเสี่ยงหลักคือคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอกว่าคาด
ทั้งนี้ ผู้บริหารระบุว่าการดำเนินงานและคุณภาพสินทรัพย์โดยรวมยังคงมีเสถียรภาพ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงลบของปัจจัยพื้นฐาน KTC ยังคงเป้าหมายทางการเงินปี 68 ไม่เปลี่ยนแปลงได้แก่การเติบโตของสินเชื่อ 4-5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการเติบโตของยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ 10% โดยจะมุ่งเน้นกลุ่มรายได้ปานกลางที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับดี คาดว่า KTC จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในธุรกรรมบัตรเครดิตได้ ทั้งนี้ KTC ไม่มีปัญหาสภาพคล่อง เนื่องจากมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารกว่า 25,000 ล้านบาท และยังได้รับการจัดอันดับเครดิตสูงสุดในกลุ่มการเงิน (AA)