ศึกเขมรภาพรัฐบาลติดลบ ไม่น่าไว้ใจ !?
เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลไทยที่นำโดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการนายกรัฐมนตรี ก็ตกลงด้วยการสรุปว่า “หยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข” ซึ่งแบบ “ไม่มีเงื่อนไข” นี่แหละที่สร้างความกังขา และเพิ่มความไม่ไว้วางใจให้กับรัฐบาลชุดนี้เพิ่มขึ้นไปอีก เพราะตัวผู้นำเจรจา คือนายภูมิธรรม ถือว่าไม่น่าไว้วางใจอยู่แล้ว เพราะถูกคนไทยไม่น้อย มองว่ามีสภาพไม่ต่างจาก “คนรับใช้” ครอบครัว “ชินวัตร” ของ นายทักษิณ ชินวัตร
ที่ผ่านมา คนไทยมองเห็นแทบจะตรงกันว่าสาเหตุของการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ล้วนมาจากความขัดแย้งส่วนตัวของสองครอบครัว คือ “ฮุน-ชิน” และยังเป็นความขัดแย้งในเรื่อง “ผลประโยชน์ส่วนตัว” เท่านั้น แต่ได้ลากเอาความเดือดร้อนของประชาชน เข้ามาเกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกัน ผลการเจรจา “หยุดยิง” ของทั้งสองฝ่าย คือ ไทย-กัมพูชา นั้น หากพิจารณากันในความเป็นจริงนั้น ถือว่า “ไทยเสียหาย” เพราะทำให้ฝ่ายเราต้องสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน และทหาร โดยที่เราไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มก่อน
ฝ่ายที่เริ่มคือ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่แสดงความโกรธเกรี้ยวกับ นายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวของเขา จนทำให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย กลายเป็นการสู้รบที่รุนแรงในรอบหลายสิบปี และครั้งนี้ ถือว่าเป็นการสู้รบที่ “รุนแรงที่สุด” เมื่อเทียบกับเหตุการณ์เมื่อปี 2554 และยังเป็นความสูญเสียมากที่สุดอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ที่ประเทศมาเลเซีย ภายหลังการเจรจาหยุดยิง กับทางกัมพูชาว่า ในการคุยกันวันนี้ ไม่ได้คุยกันถึงเรื่องการเปิดด่านอะไรทั้งสิ้น วันนี้คุยเรื่องการหยุดยิงลดความเสียหายของพลเมือง และจากนี้จะเข้าสู่กลไกของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC)
โดย ทหารทั้งสองฝ่ายจะมีบทบาทในการพูดคุยหาทางออก ต้องยอมรับว่า ทหารของเราและของเขาที่ผ่านมามีความสัมพันธ์กัน ในฐานะที่ฝึกรบร่วมกันมา แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ก็ยอมรับไม่ได้เราต้องยึดถืออธิปไตยของเรา ซึ่งเราต้องทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ ผลสรุปโดยรวมที่ออกมา ฝ่ายคนกลางคือ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ได้แจ้งทางอาเซียน และทุกฝ่ายดีใจกับข้อสรุปที่ออกมา ขณะที่จีนและสหรัฐอเมริการู้สึกพึงพอใจ ขณะที่ไทยก็รู้สึกว่า ได้ยุติปัญหาเรื่องการสูญเสียชีวิตของพลเมือง และขอย้ำว่าไม่ได้ให้ใครรุกล้ำอธิปไตยของประเทศเข้ามาได้ ส่วนเรื่องที่จะต้องคุยกันต่อไปต้องดูว่าจะได้ข้อสรุปอย่างไร โดยให้ทหารเป็นฝ่ายนำหาข้อสรุปในเรื่องนี้
นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า คณะทีมไทยแลนด์ เดินทางมาในครั้งนี้ มีทั้งกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการประสานงานจากทุกฝ่าย จากประชาคมโลก ทั้งประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาจีนและอาเซียน ที่อยากเห็นการยุติความรุนแรง เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้พลเรือนสูญเสียชีวิต
คิดว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการพูดคุยครั้งนี้ ประชาคมโลกเข้าใจเราและรู้ว่าเราเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ ทั้งที่เราพยายามแสวงหาสันติวิธี และวิธีการที่จะทำให้เป็นไปตามกฎหมาย
ผลการพูดคุยวันนี้บรรลุข้อตกลงในเรื่องแรก โดยแจ้งที่ประชุมว่าการจะยุติใดๆ ต้องยึดมั่นในผลประโยชน์ของประชาชนไทย และไม่สูญเสียเอกราชของประเทศ และไม่มีอะไรกระทบกระเทือนเรื่องเขตแดน หรืออธิปไตยของประเทศ และได้เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าไทยอยู่มาอย่างสงบ แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งตรงนี้ทำให้ลุกลามบานปลาย และพยายามจะหาข้อยุติ จึงได้ข้อยุติร่วมกันว่าจะไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน ซึ่งตอนนี้จะพูดถึงเรื่องความเร่งด่วนในการหยุดยิง เพื่อไม่ให้พลเรือนไทยเกิดความสูญเสีย เราได้เป้าหมายจากการเจรจาว่าการหยุดยิงโดยเร็ว จะทำให้ประชาชนไม่เผชิญกับความยากลำบาก
ขอย้ำว่า การพูดคุยครั้งนี้ ได้คุยกับทางกองทัพด้วยว่าเหตุที่เกิดขึ้นถ้าไม่มีอะไรสูญเสีย เรายินดี เพราะถือว่าอยู่ในจุดที่ปกป้องอธิปไตยของเราได้ ดังนั้นการยุติสงครามโดยเร็วจะช่วยให้ชีวิตของประชาชนอย่างน้อย 160,000 คนที่กำลังระเหเร่ร่อน และพักรักษาตัวอยู่ ไม่มีปัญหา ซึ่งข้อเสนอที่ให้หยุดยิงทันทีเราได้หารือกับทางกองทัพ ในเวลาเที่ยงคืนวันนี้ ซึ่งทุกฝ่ายพอใจ และเวลา 07.00 น.วันที่ 29 กรกฎาคม กองทัพภาค 1 และ ที่ 2 ของไทย จะหารือร่วมกับกองพลของกัมพูชา ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานงานพูดคุย โดยมอบให้ทหารเป็นผู้สรุปสุดท้าย หากการเจรจาจบลงเรียบร้อย จะประชุมร่วมกับนานาชาติ เพื่อเป็นสักขีพยานในการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
นั่นคือ คำพูดของ นายภูมิธรรม หลังการเจรจา ที่มองในทางบวก ว่าจะต้องเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น นั่นคือการทำตามข้อตกลง คือการหยุดยิงตามเวลากำหนด แต่อย่างที่รับรู้กันดีว่า มีการถล่มเข้ามาทั้งคืน ต่อเนื่องมาจนถึงเที่ยงวันที่ 29 กรกฎาคม จนทำให้ทหารไทยต้องพลีชีพเพื่อรักษาอธิไตยเพิ่มไปอีก 3 นาย
ดังนั้นช่วยไม่ได้ที่ทำให้ชาวบ้านมอง นายภูมิธรรม มองรัฐบาลนี้ด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจ และผลของการเจรจา “หยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข” ที่ว่านี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำความไม่น่าไว้ใจเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะในบางมุมเหมือนกับการ “ตัดจบ” โดยกลบปัญหาสำคัญเอาไว้แบบเดิม นั่นคือ ปล่อยให้ชายแดนเป็นระดับของเจ้าหน้าที่ ให้ “ฝ่ายทหาร” ต้องเผชิญหน้ากันต่อไป
อีกทั้งการเจรจาครั้งนี้ ยังมีเรื่องการ “ยื่นคำขาดเรื่องภาษีสหรัฐ” เข้ามาเป็นแรงกดดันสำคัญยิ่งทำให้เราต้องจับตาด้วยความระวัง และไว้ใจใครไม่ได้ เพราะเวลานี้ทั้งรัฐบาลกัมพูชา และรัฐบาลไทยกำลังรอลุ้นอยู่ว่าในที่สุดแล้วเมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกลับมาเจรจาภาษีนำเข้ากับสองประเทศดังกล่าว หลังจากมีข้อตกลงหยุดยิง นั้นจะได้ส่วนลดหรือได้รับ “ความเมตตา” ลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 36 เปอร์เซ็นต์ นั้นจะลดลงมาเหลือกี่เปอร์เซ็นต์กันแน่
ซึ่งจะว่าไปแล้ว กรณี “ภาษีทรัมป์” ก็ถือว่าเป็นจุดตายของ ไทย และรวมถึงกัมพูชาด้วย เพราะตลาดส่งออกไปสหรัฐของทั้งสองประเทศมีสัดส่วนต่อจีดีพีสูงมาก โดยเฉพาะกัมพูชา ที่สูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเรื่องนี้เป็น “จุดชี้เป็นชี้ตาย” เหมือนกัน และสำหรับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแล้ว เรื่องปัญหาเศรษฐกิจการส่งออก ก็จะส่งผลต่อรัฐบาลอย่างรุนแรง และยังส่งผลไปถึงการเลือกตั้งอีกด้วย
แต่ที่ต้องจับตาไม่แพ้กันก็คือ เมื่อสหรัฐถือแต้มเหนือกว่าแบบนี้ แล้วทำให้ต้องรอดูว่าจะมีการบีบให้เราต้องเปิดตลาดสินค้าบางอย่าง เช่น สินค้าเกษตร ที่เราไม่สามารถแข่งขันได้ ขณะเดียวกันหากมีการเปิดทางให้เข้ามาก็จะเป็นการทำลายเกษตรกรไทย เช่น หมู เนื้อวัว เป็นต้น เราจะมีทางออกหรือไม่ หรือว่าจะยอมตามแรงกดดันทุกอย่างหรือไม่
อย่างไรก็ดี ปัญหาในเวลานี้ก็คือ “ความไม่ไว้ใจ” รัฐบาล และตัวผู้นำว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของใครกันแน่ ระหว่างบ้านเมืองกับ “ครอบครัวชินวัตร” และเมื่อพิจารณาแบ็กกราวด์ที่ผ่านมา มันก็ปฏิเสธความรู้สึกดังกล่าวแบบนั้นไม่ได้เสียด้วย อีกทั้งแต่ละเรื่องที่ต้องไป “ดีล” ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ และน่าสงสัยทั้งสิ้น !!
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO